Instagram SEO คืออะไร? Alt Text Instagram คืออะไร? พร้อมเทคนิควิธี

หากเราพูดถึงการทำ SEO (Search Engine Optimization) กันแต่ก่อน ก็คงจะนึกถึงการค้นหาบางสิ่งบางอย่าง ผ่าน Google เช่น รูปภาพ แผนที่ เว็บไซต์ หรือข่าวสาร เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนี้ เราสามารถทำ SEO จากช่องการค้นหาบน Instagram กันได้แล้ว

การทำ Instagram SEO หรือ SEO Instagram จะเป็นประโยชน์สำหรับแบรนด์ต่าง ๆ เมื่อผู้ใช้งานทำการค้นหาด้วย Keyword ที่ต้องการ ทำให้โพสต์ต่าง ๆ ของเราถูกค้นเจอง่ายขึ้นด้วยช่องทางการค้นหาจาก Interest

เราขอแนะนำ SEO บนช่องทางไอจี สำหรับผู้ประกอบการที่มีร้านค้าบนแพลตฟอร์มนี้กัน (Interest เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่แบ่งประเภทของสิ่งต่าง ๆ ตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น อาหาร การท่องเที่ยว สัตว์เลี้ยง หรือความสนใจอื่นๆ) >> เรามีบริการ รับสอน SEO ด้วยนะ

Instagram SEO คืออะไร?

Instagram SEO(Search Engine Optimization) คือ วิธีการที่ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ สามารถถูกค้นหาเจอบนช่องทางไอจีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งสำคัญหลัก ๆ ที่นักการตลาดควรโฟกัสนั่นก็คือการสร้าง Keyword ที่มีแนวโน้มว่าจะมีผู้ค้นหาเป็นส่วนมาก

ซึ่งระบบอัลกอริทึมของ Instagram จะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาคอนเทนต์ที่มีตรงกับ Keyword นั้นๆ และเลือกคอนเทนต์ที่มีความใกล้เคียงมานำเสนออีกด้วย Keyword ที่ผู้ค้นหาสามารถนำไปใช้ จะเป็นได้ทั้งคำที่อยู่ในแคปชันของโพสต์ วลีต่างๆ และแฮชแท็ก ทำให้โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะเห็นคอนเทนต์ของเราง่ายขึ้น

ข้อดี เมื่อแบรนด์ทำ Instagram SEO

  • มีคนเข้ามาเห็นโพสต์มากขึ้น และได้กลุ่มเป้าหมายใหม่เพิ่มจากการค้นหา
  • ได้กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ และความต้องการในการซื้อสินค้า และ บริการ เนื่องจากโดยเบื้องต้นแล้ว คำค้นหาของคนกลุ่มนี้ เกี่ยวข้องกับสินค้าที่เรานำเสนอ
  • ไม่จำเป็นต้องสร้างแฮชแท็กที่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาแบบเป๊ะๆ ระบบอัลกอริทึมก็สามารถแสดงผลลัพธ์ได้อย่างใกล้เคียง
  • แบรนด์สามารถสร้างคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการศึกษาตลาดคู่แข่งว่ามีการนำเสนอคอนเทนต์อย่างไรบ้าง เพื่อวิเคราะห์หาจุดแข็งของตัวเองในการโปรโมทคอนเทนท์ของตัวเอง
  • สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ จากการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์อื่น ๆ โดยร่วมกันทำธุรกิจเป็น Partnership และ แบรนด์สามารถแชร์กลุ่มเป้าหมายร่วมกันได้

Instagram SEO ต่างจาก Website SEO อย่างไร

Website SEO คือ วิธีการพัฒนาเว็บไซต์ให้อยู่ในลำดับการค้นหาที่สูงขึ้น เมื่อเราทำการค้นหาผ่าน Google และ Bing แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายของ SEO ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การทำเว็บไซต์ให้ดีขึ้นอีกต่อไป

เนื่องจาก Instagram เริ่มเห็นถึงความสำคัญของการค้นหาภายในแพลตฟอร์ม จึงได้มีการพัฒนาระบบอัลกอริทึมให้ดียิ่งขึ้น โดยใช้หลักการค้นหา Keyword ที่เป็นที่นิยมในช่วงเวลานั้น ๆ เพื่อสร้าง Traffic ใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์และเพิ่มยอด Engagement จากการค้นหาด้วย Interest (บริษัททำ SEO ของเรายินดีให้คำปรึกษา)

Instagram SEO tool เครื่องมือในการทำการตลาดผ่าน Instagram

Insights ใน Instagram เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ Instagram Marketing ของเราออกมา Perfect สุดสมบูรณ์แบบ ต้องอ้างอิงจากข้อมูล Data ที่มาจากโปรไฟล์ของเรา ซึ่งทุกคนสามารถติดตามได้จาก Instagram Business ซึ่งการเปิดบัญชีธุรกิจนั้นจะช่วยให้เราเข้าถึงเครื่องมือ Instagram Analytics ได้ โดยมีการรายงานข้อมูลเชิงลึกเป็นจำนวนมาก เช่น

  • จำนวนการเข้าชมโปรไฟล์ทั้งหมด
  • จำนวนการคลิกเข้าชมเว็บไซต์
  • การเข้าถึงทั้งหมด
  • การแสดงผลทั้งหมด
  • ประสิทธิภาพของทุกโพสต์
  • จำนวนการดู Stories ทั้งหมด
  • จำนวนผู้ติดตามและแนวโน้มการเติบโตล่าสุด
  • การแบ่งเพศและอายุ
  • ผู้ติดตามของเราอาศัยอยู่ที่ไหน
  • กิจกรรมของผู้ติดตามในแต่ละวันและเวลา ช่วยให้เรากำหนดเวลาโพสต์ได้อย่างเหมาะสม

การใช้ช่องทางค้นหาบน Instagram ด้วยฟีเจอร์ Interest

ปกติแล้ว ผู้ใช้งานใน Instagram ก็สามารถค้นหาแฮชแท็ก หรือชื่อร้านผ่านช่องทางค้นหา (ช่อง Searching) ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาที่เราค้นหา Keyword บางอย่างบน Instagram เราอาจไม่ได้เจอโพสต์ที่น่าสนใจ หรือ เราอาจจะพลาดคอนเทนต์เจ๋งๆ ในบางโพสต์

เนื่องจาก ก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์การค้นหาไม่ได้แบ่งหมวดหมู่ตามความสนใจของเรา ทำให้เราไม่ได้เห็นผลลัพธ์จากการค้นหาที่ใกล้เคียงกันนั่นเอง ดังนั้น Instagram จึงได้เพิ่มฟีเจอร์การค้นหา เพื่อตอบโจทย์ให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหา Keyword ตามความสนใจของเราได้ รวมทั้งการนำเสนอโพสต์ที่น่าสนใจใกล้เคียงกัน เพื่อให้เห็นคอนเทนต์ที่หลากหลาย และตอบโจทย์กับฟีเจอร์ Instagram Shopping มากขึ้น (อ่านเพิ่มเติม การทำ backlinks)

วิธีการใช้งานจากช่องค้นหาด้วยฟีเจอร์ Interest บน Instagram

  1. เริ่มต้นจากการเข้าไปยังหน้าการค้นหา ซึ่งเราสามารถสังเกตเห็นไอคอนรูปแว่นขยาย จากนั้น ใส่ Keyword ที่ต้องการลงไป จากนั้น ผลลัพธ์การค้นหาก็จะปรากฏขึ้น โดยเราจะเห็นว่า มี Keyword ที่ใกล้เคียงกันปรากฏขึ้น เป็นลิสต์ต่อ ๆ กันลงมา สมมติว่าเรา ค้นหาคำว่า Hiking ก็จะเห็นว่ามี Keyword ใกล้เคียงปรากฏขึ้นด้วย
  2. เมื่อเราเลือกคลิกคำว่า Hiking แล้ว ก็จะเห็นโพสต์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้น แต่เราก็จะเห็นคำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Hiking ด้วย เช่น Trails และ Lifestyle

เทคนิควิธีการทำ Instagram SEO

1. เขียนคำอธิบายคำบรรยายภาพ(แคปชั่น) ที่มี Keyword

ก่อนหน้านี้แพลตฟอร์มอย่าง Instagram ไม่ได้คำนึงถึงคำอธิบายภาพในการจัดอันดับเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม ปัจจุบันคีย์เวิร์ดหรือคำหลักในการอธิบายภาพมีบทบาทสำคัญให้รวมคำ หรือคีย์เวิร์ดเข้าไว้ในโพสต์แคปชันด้วยเพื่อช่วยในการค้นหา เป็นการเปลี่ยนวิธีการแสดงผลการค้นหา (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)

โดยในอดีตผลการค้นหาจะรวมเฉพาะบัญชีแฮชแท็ก และสถานที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ตอนนี้ผลลัพธ์การค้นหา มีตั้งแต่หน้าผลลัพธ์คีย์เวิร์ดที่มีไว้สําหรับการเรียกดูอีกด้วย ซึ่งถือเป็นข่าวดีสําหรับแบรนด์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะจะช่วยให้ผู้คนมีโอกาสค้นหาเนื้อหาของคุณโดยไม่ต้องค้นหาแค่เฉพาะชื่อบัญชีเท่านั้น

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเขียนคำบรรยายภาพหลายย่อหน้า เว้นแต่ว่าคุณจะแชร์เรื่องยาว เช่น สูตรอาหาร คำแนะนำ หรือวิธีการ พยายามสร้างสมดุลระหว่างการบรรยาย และการสรุปโดยพูดตรงประเด็น และอธิบายเฉพาะเนื้อหาของโพสต์เท่านั้น

กลยุทธ์นี้จะเหมือนกับ การทำคอนเทนต์ทั่วไปจากบนเว็บไซต์ที่เป็น Blog ของเรา หรือการสร้าง Copy Writing บน Facebook ซึ่งผู้ที่ทำการค้นหาผ่านฟีเจอร์ Interest จะสามารถค้นหาคอนเทนต์ของเราเจอได้ ด้วยแคปชันของโพสต์เราเอง ตัวอย่าง เมื่อเวลาที่ผู้ใช้งานค้นหา Keyword คำว่า Korean Food จากนั้น คอนเทนต์ต่าง ๆ ก็จะปรากฎขึ้นมา

โดยถ้าหากเราลองคลิกภาพแรก ก็จะเห็นว่าในแคปชันหรือคอนเทนท์หรือคำบรรยายใต้ภาพนี้มีคำว่า Korean Food อยู่ซึ่ง Keyword นี้ไม่ใช่แฮชแท็ก หรือชื่อ Account

2. Focus Keyword และ Related Keyword จะต้องอยู่ในหน้า Bio และ Description

ปัจจุบันนี้ระบบอัลกอริทึมของ google สามารถค้นหา Keyword จาก social media อื่นๆ ได้นอกจากเว็บไซต์ และรูปภาพแล้ว หมายความว่า ผลการค้นหาจาก Google สามารถมาจากแหล่งโซเชียลมีเดียช่องทางอื่นๆ อย่าง Facebook Instagram หรือ YouTube หาก Keyword ที่ใช้นั้นตรงกับคำค้นหาของผู้ใช้งาน (อ่านเพิ่มเติม Facebook SEO)

ดังนั้น การที่เราใช้ Top Keyword หรือคำศัพท์ยอดนิยมที่กำลังมีคนค้นหาเป็นจำนวนมากในช่วงเวลานั้น ก็จะทำให้โอกาสที่มีคนค้นหาคอนเทนต์ของเรามีเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งการเขียนแคปชันที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และสื่อถึงสินค้า และบริการของเราแบบตรงๆ ก็มีส่วนช่วยให้คนค้นเจอโพสต์ในไอจีแบบง่ายๆ

นอกจากนี้ ร้านค้าออนไลน์ที่ทำการตลาดผ่าน Instagram ควรคำนึงถึงหน้าโปรไฟล์หลัก และรายละเอียดของแบรนด์ด้วย เนื่องจาก เมื่อมีคนค้นหา Username ที่เป็นชื่อร้านของเราจากทาง Google ผลการค้นหาก็จะขึ้นชื่อร้าน และสามารถลิงก์มายังหน้า Instagram ของเราได้นั่นเอง (อ่านเพิ่มเติม SEO Keyword)

3. เลือกโพสต์ให้ถูกเวลา

ในฐานะนักการตลาดออนไลน์ จะโพสต์โซเชียลมีเดียทั้งทีก็ไม่ควรทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะถ้าหากลงผิดเวลาขึ้นมา ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ก็จะหายไปเกือบครึ่ง! โดยการจะรู้เวลาที่เหมาะสมได้นั้นไม่ยากเลย

เพราะ Instagram มีฟังก์ชันที่คอยช่วยเหลือเราให้สามารถวิเคราะห์ออกมาเป็น Data Visualization ได้ นั่นก็คือเครื่องมือวัดผล Insights ที่อยู่ใน “Insight Instagram” ตัวช่วยวิเคราะห์หาวันและช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ติดตามของเรามักออนไลน์มากที่สุด ให้เราได้เลือกโพสต์คอนเทนต์ในวันและเวลานั้น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็นและไม่ถูกคอนเทนต์อื่น ๆ กลบทับ (อ่านเพิ่มเติม Tiktok SEO)

4. ใช้แฮชแทก(Hashtag)ให้เหมาะสม

กลยุทธ์นี้หลาย ๆ คนที่ทำการตลาดออนไลน์น่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะการใช้แฮชแทกเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของ Instagram SEO โดยเทคนิคการใช้แฮชแทกที่ถูกต้องเพื่อให้คอนเทนต์ได้รับการมองเห็นมากขึ้นและสามารถสร้างการรับรู้ (Awareness) ในวงกว้างได้

จะต้องเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม หรือแฮชแทกที่กำลังติดเทรนด์ในช่วงเวลานั้นๆ และที่สำคัญคือไม่ควรใช้เยอะจนเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้ดูเหมือนสแปมแล้ว ยังอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายเลื่อนผ่านคอนเทนต์ของเราไปอย่างไม่ใส่ใจอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น Instagram ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้แฮชแทกเพื่อโปรโมตบัญชี ผลพบว่า (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce)

  • การใช้แฮชแท็กจะต้องเป็นคำมีทั้งคำกว้างๆ และคำเจาะจงเฉพาะกลุ่ม และที่ขาดไม่ได้เด็ดขาดคือ ชื่อแบรนด์
  • จำนวน Hashtag ที่เหมาะสมคือ ไม่เกิน 10 คำ
  • การใช้แฮชแทกที่มีผู้ติดตามอย่างน้อย 1,000 คน ส่งผลให้มีผู้เข้าถึงโพสต์ดังกล่าวเฉลี่ย 22 ครั้ง
  • โพสต์ที่มีแคปชันที่ใช้แฮชแทกได้รับยอดการมีส่วนร่วมมากกว่าโพสต์ที่ไม่มีแฮชแทก
  • การซ่อนแฮชแทกไว้ข้างล่างเพื่อไม่ให้ปะปนกับเนื้อหาในแคปชันจะดึงดูดสายตาผู้ชมได้ดีกว่า
  • เลือกใช้แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
  • ใช้แฮชแท็กที่รู้จักกันดี มีความ Niche เฉพาะกลุ่ม และเฉพาะเจาะจง
  • จํากัดแฮชแท็กไว้ที่ 3 ถึง 5 คำต่อโพสต์
  • อย่าใช้แฮชแท็กที่ไม่เกี่ยวข้องหรือทั่วไปมากเกินไป

ติดแฮชแท็กหน้าชื่อสินค้าที่เราขาย ช่วยให้ลูกค้าหาร้านเราเจอง่ายขึ้น เพราะลูกค้าบางคนเลือกค้นหาสินค้าจากเแฮชแท็ก โดย แฮชแท็ก สามารถดึงดูด ผู้ชมให้กดติดตามได้ด้วย แนะนำว่าไม่ควรติดแฮชแท็กเยอะจนเกินไป

เพราะว่าถ้าใส่มากเกินไป จะทำให้คนคิดว่าเป็นสแปมได้ และแฮชแท็ก ที่ใช้นั้นก็จะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราด้วย ต้องมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน แปลกใหม่ แต่มีข้อระวังว่าก่อนจะใช้ Hashtag นี้คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าไม่ซ้ำใคร เฉพาะตัว ก็จะเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ทำให้คนกดติดตาม IG ของแบรนด์ได้ไม่ยาก

(อ่านเพิ่มเติม Twitter SEO)

5. โพสต์ IG อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

ต้องพยายามเอาใจอัลกอริทึม IG ด้วยการโพสต์อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน อาจจะเป็นการคอมเมนต์ตอบกับลูกค้า หมั่นหาคอนเทนต์กระตุ้นยอดผู้ติดตามและยอดไลค์แบบออแกนิก เพราะบางครั้งอัลกอริทึมจะไม่ได้ผลกับยอดผู้ติดตามและไลค์ที่มาจากบอท (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress)

6. หา Engage จาก Target Audience

ขาดไม่ได้เลยคือการเสริมกำลัง engage ให้บัญชีของเราจาก Audience จะช่วยให้แอคเคาท์เรามีการเคลื่อนไหวและเตะตา เวลาทำ SEO ก็ยังยิ่งได้ผลดีขึ้น ลูกเล่นในการทำยอดเอนเกจนั่นก็จะมีคอนเทนต์ต่างกันไปตามกิจกรรม

ประเด็นคือโพสต์จะต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย เปิดให้ถามตอบ ให้รีวิวลุ้นของรางวัล เพื่อให้เราสามารถพิมพ์โต้ตอยคอมเมนต์ได้ ถ้าเป็นโพสต์โปรโมทสินค้าธรรมดาก็เพิ่มในแคปชั่นตอนท้ายไปว่า “ไหนใครรออยู่บ้างงง” “มีใครอยากได้ส่วนลดมั้ยน้า” เพื่อดึงดูดให้โพสต์นั่นมีคนมาคอมเมนต์ก็ได้

7. Instagram Stories & Highlight Stories

Instagram Stories

สำหรับ Instagram Stories ที่มีระยะเวลาแสดงเพียง 24 ชั่วโมง ทำให้เนื้อหาค่อนข้างน่าสนใจดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลา หลายธุรกิจมักจะใช้เทคนิคในการโปรโมทดังนี้

การเล่าเรื่อง : เป็นการโพสต์เรื่องราวต่างๆ ของธุรกิจในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น สินค้าเครื่องทำกาแฟ ก็อาจเป็นสาธิตการใช้งานเครื่อง สอนทำกาแฟในตอนเช้า

สร้างการโต้ตอบ : เป็นการใช้ฟีเจอร์ของ Stories แบบสำรวจ หรือ การตอบคำถาม ตัวอย่างเช่น คุณอยากให้สินค้าชิ้นไหน ลดราคาในเดือนหน้า? A หรือ B

สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า : เป็นการสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะเช่น การแชร์ภาพรีวิว หรือคอมเม้นต์จากลูกค้าลงใน Stories พร้อม Caption ในภาพเพื่อแสดงคำขอบคุณ

การใส่ Captions ในโพส Stories : กลยุทธ์การใส่ Captions แบบอัตโนมัติใน Stories สำคัญมากต่อ Instagram Marketing ในปัจจุบัน เนื่องด้วยสถิติที่กว่า30% ของผู้ใช้งาน เข้าชม Stories แบบไม่มีเสียง การใส่ตัวช่วยบรรยายที่ทำหน้าที่เหมือน Sub Title จะทำให้ผู้ชมกลุ่มดังกล่าว เข้าถึงเนื้อหาคอนเทนต์ของเราได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเข้าใจถึงเนื้อหาที่เราต้องการสื่อได้แม้ไม่ต้องเปิดเสียง

Highlight Stories

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ธุรกิจนำมาประยุกต์ใช้กับแบรนด์ได้ และสร้างความน่าสนใจให้กับโปรไฟล์ธุรกิจเป็นอย่างมาก

ฟีเจอร์ Highlight Stories นั้นช่วยให้เราสามารถสร้างอัลบั้มของ Stories ขึ้นมาได้ เหมือนเป็นการนำ Instagram Stories ที่เด่นๆ มาแสดงไว้บนหน้าโปรไฟล์ และทำให้มันไม่หายไปหลังครบ 24 ชั่วโมงแล้ว

นอกจากนี้เรายังสามารถทำปกอัลบั้มของ Highlight Stories ได้อีกด้วย ทำให้หลายแบรนด์นำมาประยุกต์ใช้โดยการทำปกอัลบั้มขึ้นมาเพื่อแบ่งเนื้อหาของ Stories ให้คนที่เข้ามาดูโปรไฟล์สามารถเลือกดูได้ตามต้องการ (อ่านเพิ่มเติม Youtube SEO)

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เราสามารถหยิบ Stories มาทำเป็นไฮไลท์ ให้ดูเหมือนการปักหมุดเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้ใต้โปรไฟล์ของเรา ให้ผู้ชมสามารถเข้าไปดูได้ตลอดเวลา โดยที่จะไม่หายไปจนกว่าเราจะนำออกไปเอง

ซึ่งตรงนี้ตอบโจทย์ Instagram Marketing อย่างชัดเจน เพราะถ้าเราใช้เทคนิคการขายของออนไลน์ผสมเข้าไปด้วย จะสามารถโชว์ทั้งสินค้า, โชว์รีวิว, นำเสนอโปรโมชัน หรือมีคอนเทนต์ให้ประโยชน์แทรกอยู่ได้ครบถ้วน และน่าสนใจอย่างมาก

การเพิ่ม Alt Text ลงไปบนภาพ(Alt Text Instagram)

Alt Text (Alternative Text) คือ คำอธิบายรูปภาพที่ แทรกอยู่ใน HTML Code ของเว็บไซต์ โดยคำอธิบายนี้จะไม่ถูกแสดงบนหน้าเว็บ แต่ข้อดีของมันที่คือมันมีผลต่อการทำ SEO ด้วย

Instagram Alt text หรือคำอธิบายภาพ เป็นเรื่องที่คนทำ IG SEO อาจมองข้ามไป แต่จริงๆ ช่วยเป็นกำลังเสริมในการมองเห็น หรือเพิ่มโอกาสให้คนเสิร์ชเจอมากขึ้น โดยให้เข้าไปที่ Advanced Setting ในหน้าที่เราเขียนแคปชั่นก่อนโพสต์ > และกด Write Alt Text

Alt text ที่ดีจะต้องเขียนให้กระชับ ไม่ต้องสิ้นเปลือง เช่นคำว่า “รูปนี้คือ…” แต่ใช้เขียนว่า “กระเป๋าผ้าแบบสะพายข้าง” ไปได้เลย รวมทั้งแทรก keyword ใน Alt text แต่ไม่ต้องใส่ทุกรูป สุดท้ายคือพยายามอย่าใช้คำอธิบายเหมือนกันทุกรูปติดๆกัน เช่น กระเป๋าผ้าสะพายข้าง กระเป๋าผ้าสะพายข้างสวย กระเป๋าผ้าลายดอกไม้

Alt text บน Instagram ก็เหมือนกับ Alt text บนเว็บ เป็นคําอธิบายข้อความของรูปภาพ หรือวิดีโอ เป็นข้อความแสดงแทนให้เนื้อหาของคุณสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ช่วยให้คำอธิบายโดยละเอียดว่ารูปภาพประกอบด้วยอะไร เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาแม้ว่าโหลดรูปภาพไม่ได้

Alt text บน Instagram ยังสร้างข้อได้เปรียบในการช่วยให้ Instagram เข้าใจสิ่งที่อยู่ในเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น และเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าเกี่ยวข้องกับการคีย์เวิร์ดที่ค้นหาเฉพาะเจาะจงหรือไม่

ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ Instagram สามารถใช้ข้อความแสดงแทนเพื่อทำความเข้าใจว่าโพสต์ของคุณเกี่ยวกับอะไร ดังนั้นคุณจึงสามารถอธิบายได้ละเอียด และรวมคำหลักที่สำคัญบางคำเพื่อปรับปรุงการค้นพบเนื้อหาของคุณได้

นอกจากนี้ Instagram ยังใช้เทคโนโลยีการจดจําวัตถุเพื่อสร้างคําอธิบายอัตโนมัติของแต่ละรูปภาพ สําหรับผู้ที่ใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอ ข้อมูลนี้ยังให้ข้อมูลกับ Instagram Algorithm และผลการค้นหาเกี่ยวกับเนื้อหาของรูปภาพของคุณด้วย ซึ่งมันจะช่วยประสิทธิภาพของ SEO ให้ดีขึ้นนั่นเอง

เทคนิคเพิ่มเติม เพิ่มยอดวิว Instagram

1. แชร์โพสรูปแบบสไลด์ (Carousel Posts)

อยากให้คอนเทนต์ของเรามีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานขึ้น การแชร์โพสต์ในรูปแบบสไลด์ หรือ Carousel Posts นับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในกลยุทธ์ Instagram Marketing เลยทีเดียว

เนื่องจากในการโพสต์ครั้งแรก ผู้ชมอาจมองไม่เห็นโพสต์ หรือยังไม่ให้ความสนใจมากเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปถ้าพวกเขาได้มีโอกาสเห็นโพสต์อีกครั้ง จะได้รับชมคอนเทนต์เต็มรูปแบบจากสไลด์ที่เราทำไว้ พร้อมเติมเต็มความสนใจ และการเข้าถึงได้อย่างยอดเยี่ยม

2. ตามกระแสข่าวต่างๆให้ทัน

ไม่ว่าจะเป็นการลงคอนเทนต์เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ Instagram Marketing ในด้านไหน เราอยากให้คุณลองโฟกัสกระแส Real Time ที่เกิดขึ้นมาในช่องทางต่าง ๆ เช่น การใช้ลูกเล่นใหม่ ๆ บน Stories, กิจกรรมหรือคอนเทนต์ที่กำลังฮิตบนReels และอื่น ๆ อีกมากมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ลองจับกระแสที่เกิดขึ้นให้ทัน ปรับเข้ากับธุรกิจอย่างเหมาะสม และปล่อยคอนเทนต์ของเราออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ แบบที่ดูไม่ฝืนหรือพยายามเกาะกระแสจนเกินไป

3. ลองใช้ Instagram Live

เครื่องมืออันทรงพลังที่ทำให้เราสามารถโต้ตอบกับผู้ติดตามได้แบบ Real Time เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ Instagram Marketingของทุกธุรกิจ ควรพิจารณาเลือกมาใช้งาน เพราะถ้ามีผู้ชมอยากทำความรู้จักแบรนด์อยู่แล้ว ก็จะเข้ามาโต้ตอบผ่าน Live กันเป็นจำนวนมาก รวมถึงผู้ใช้งานที่ผ่านมาเจอ อาจเกิดความสนใจและเข้าร่วมชุมชนของเราได้ด้วย

4. เพิ่ม Link ที่หน้า Bio ของคุณ

หากใครนึกภาพออกจะเห็นว่าหน้าโปรไฟล์ของ Instagram จะมีให้ใส่ข้อมูลตรงส่วนของ Bio และที่สำคัญคือเราสามารถใส่ลิงก์เพื่อเชื่อมกับเว็บไซต์เราได้ ปัจจุบัน IG ได้อัปเดตให้สามารถเพิ่มลิงก์ได้โดยตรงแล้ว เพียงแค่กดเข้าไปแก้ไขโปรไฟล์ และกดเพิ่มลิงก์ รวมถึงตัว IG เองยังสามารถใส่ Title แทน URL ของลิงก์เพื่อลดความยาวลงได้อีกด้วย

ข้อจำกัด คือ สามารถใส่ได้เพียงลิงก์เดียวเท่านั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเขียน Bio ให้สร้างความน่าเชื่อถือและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้พบเห็นให้ได้มากที่สุด เสริมกับ Landing Page ที่ใช้งานง่าย สื่อถึงธุรกิจของคุณชัดเจน

โดยประโยชน์ของการเพิ่มลิงก์ คือ คุณสามารถเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ของคุณได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ไปยัง Online Shopping แน่นอนว่ามันไปช่วยในเรื่องของ SEO ได้อย่างดีเลยทีเดียว

5. ใช้ Call-to-Action (CTA)

CTA หรือ Call-to-Action คือวิธีที่จะกระตุ้นให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือกดเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ หากไม่มีสิ่งนี้อาจทำให้คนที่เข้ามาไม่รู้ว่าสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ไหนได้บ้างและทำให้ธุรกิจขาดความน่าเชื่อถือไป

การสร้าง CTA ในไอจีนั้นมีหลายรูปแบบ โดยเราขอแบ่งออกมาเป็นแต่ละฟังก์ชันดังนี้

Post Caption : การสร้าง CTA ในโพสต์นั้นทำได้โดยการตั้งแคปชันที่ทำให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับเรา เช่น การใส่แคปชันว่า ‘ให้กดลิงก์จากในโพสต์เลย’ หรือ ‘ให้ไปดูข้อมูลเพิ่มเติมบนเว็บไซต์’ เป็นต้น ซึ่งใช้ได้ทั้งกับการแชร์ การเซฟโพสต์ การใส่ลิงก์ และการคอมเมนต์

Reels : ตอนนี้ไอจีกำลังดัน Reels ให้มีผู้ใช้งานฟังก์ชันนี้มากขึ้น จึงเป็นข้อได้เปรียบสำหรับธุรกิจที่อยากให้ไอจีช่วยดันเว็บไซต์ของตัวเองให้เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว
โดยการจะใส่ CTA นั้นอาจเป็นเรื่องยากขึ้นมานิดนึง เพราะส่วนที่ใส่ได้นั้นมีเพียง แคปชันใต้คลิป และผู้ใช้งานต้องแตะเพิ่มเติมเพื่อดูมากกว่าบรรทัดแรก

ดังนั้นประโยคแรกจึงสำคัญมาก เราขอแนะนำว่าให้ใช้บรรทัดแรกเขียนดึงดูดให้ผู้ชมอ่านต่อ หรือบอกให้แตะเพื่อดูส่วนที่เหลือเพิ่มเติมแทน

Bio : นอกจากใส่ลิงก์แล้ว เรายังสามารถสร้าง Action Button บนหน้า Bio ของเราได้เช่นกัน ซึ่งมันจะไปเชื่อมกับเว็บไซต์ที่เราตั้งค่าไว้ โดยตัวปุ่มนี้ เราสามารถเลือกได้ว่าอยากให้มันทำอะไร หรือใส่ข้อมูลอะไรไปบ้าง เพื่อง่ายต่อการกดใช้งาน

Shop และ Live Shopping : ใน Shop ของ IG เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการทำ CTA อย่างมาก เพราะเราสามารถเชื่อมการขายกับเว็บไซต์เราได้โดยตรง และในไลฟ์สดคุณสามารถแท็กและขายสินค้าให้ผู้ชมของคุณซื้อผ่านทางไลฟ์ได้เลย

การใช้ CTA ใน Instagram นั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายมาก ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจคุณเหมาะกับการทำแบบไหน อาจเลือกจากฟังก์ชันที่ตรงกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของคุณ แล้วลองเอาไปใช้ดูกัน

6. เพิ่ม Link ในสตอรี่ไอจี (IG Stories)

ในสตอรี่ไอจี เราสามารถใส่ลิงก์ให้คนคลิกเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแอคเคาท์ธรรมดาหรือแอคเคาท์ธุรกิจก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน หรือที่พิเศษขึ้นมาอีกหน่อยสำหรับแอคเคาท์ธุรกิจที่ต้องมีผู้ติดตามมากกว่า 10,000 คน

คือ สามารถทำแบบ Swipe Up ที่เป็นการปัดขึ้น เพื่อเข้าถึงลิงก์โดยไม่ต้องออกจากแอพ Instagram หรือกลับไปที่โปรไฟล์ของคุณได้โดยจะใส่ลิงก์ไปยัง Blog, เว็บไซต์ และร้านค้าของคุณ หรือส่งไปยังหน้า Instagram Shop ของคุณก็ได้ การทำแบบนี้จะทำให้ผู้ใช้งานของคุณเข้าถึงและมีส่วนรวมกับเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้นมาก เพียงแค่กดลิงก์จากในสตอรี่

7. ยิงโฆษณาบน Instagram (Instagram Ads)

อีกหนึ่งวิธีเพิ่ม Traffic เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถดึงดูดคนจาก Instagram มายังเว็บไซต์ของคุณได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือการยิงโฆษณาใน IG เพราะมันสามารถช่วยเพิ่มการเข้าถึงได้อย่างมาก (อ่านเพิ่มเติม Website traffic)

อีกทั้งยังสามารถเจาะกลุ่มประชากรที่คุณต้องการด้วยแฮชแท็กเฉพาะแคมเปญ พร้อมให้ข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดตามโดยรวมและยอด Engagement เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อได้อีกด้วย

IG มีเครื่องมือให้ใช้สำหรับการโฆษณาอยู่หลายแบบ ซึ่งเราจะยกฟีเจอร์อันที่เหมาะกับการสร้าง Traffic ให้กับเว็บไซต์ได้มากที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 2 อย่าง ดังนี้

  1. Ad Highlighting หรือเป็นรูปแบบ Bar ที่ใช้สำหรับโพสต์ เหมาะกับสินค้าที่ต้องแสดงให้เห็นรูปภาพ การใช้งาน และใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ
  2. ปุ่ม CTA ในคอมเมนต์ มาในรูปแบบของการแสดงแนะนำข้อมูลเพิ่มเติมใต้คอมเมนต์ เป็นส่วนเสริมเล็กๆ ที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้เกิดการ Remind คิดที่จะซื้อสินค้า/บริการ อีกครั้ง และตามมาด้วย Action การคลิกและรับข้อมูลข่าวสารจากลิงก์ที่เราเชื่อมไปยังเว็บไซต์

การลงโฆษณาบน IG คุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับความต้องการของคุณได้ ขอยกตัวอย่างธุรกิจเป็น ขายเสื้อโค้ช เสื้อกันหนาว

ข้อมูลประชากร : กลุ่มคนแบบไหนที่เหมาะกับสินค้าของคุณ เพศ อายุ ภาษาที่ใช้
ความสนใจ : คนที่เหมาะกับสินค้าของคุณต้องมีความสนใจแบบไหน ชอบท่องเที่ยว ชอบถ่ายภาพ หรือช้อปปิ้ง

พฤติกรรม : Facebook และ Instagram สามารถศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ ทำให้เราสามารถกำหนดได้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราโปรโมท มีประวัติไปเที่ยวต่างประเทศบ่อย หรือพึ่งกลับมาจากต่างประเทศ ภายในระยะเวลาเท่าไหร่ 1 หรือ 2 สัปดาห์

สถานที่ หรือที่อยู่อาศัย : หากร้านขายเสื้อโค้ชมีหน้าร้านอยู่ด้วย เราก็สามารถโปรโมทให้คนที่อยู่ในรัศมี 1-5 กิโลเมตร เห็นโพสต์ของเราได้ เพิ่มโอกาสให้คนเข้ามาที่ร้านของเรา
นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกโปรโมทไปหาคนที่มีความชอบคล้ายกับคนที่ติดตามเราได้อีกด้วย

8. นำเสนอ Content ที่แตกต่าง

คอนเทนต์ คือ สิ่งสำคัญในการทำการตลาดที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร สิ่งสำคัญคือต้องนำเสนอคอนเทนต์ที่แตกต่าง มีเอกลักษณ์ รวมไปถึงต้องคงความเป็นธุรกิจตัวเองไว้ เพื่อดึงดูดผู้เข้าชม สร้างภาพจำให้พวกเขากลับมาหาเราอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงรูปแบบของแพลตฟอร์มอย่าง IG ที่เน้นไปทาง Visual และต้องทำอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งควรเป็นเนื้อหาที่เหมาะสมกับการค้นหาบน IG มากกว่า Google หรือเรียกได้ว่าคนทั่วไปเลือกที่จะเสิร์ชสิ่งนี้บน IG แทนที่ Google เพราะแสดงผลง่ายกว่านั่นเอง อาจเป็นคอนเทนต์เชิงลึกที่ให้ข้อมูลไม่ซ้ำใคร

ยิ่งเมื่อคุณพยายามกระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณจาก Instagram หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ ยิ่งทำให้เพิ่มการซื้อขายและเป็นวิธีเพิ่ม Traffic ได้มากยิ่งขึ้น

9. ร่วมมือกับ Partner ในไอจี

หากคุณมี Partner ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ร่วมกันทำ เหล่า Influencers หรือ Stakeholders ทั้งหลาย และพวกเขามี Instagram เป็นของตัวเอง วิธีนี้ก็ถือว่าเหมาะเจาะอย่างมาก เพราะยังไงสองหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวแน่นอน

ซึ่ง IG มีฟีเจอร์ Invite Collaborator ที่สามารถ Invite แบรนด์สินค้าหรือ Partner ของเราให้เข้ามาคอลแลปส์กันได้ในโพสต์ โดยจะคล้ายกับการแท็กไอจีปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างคือมันจะแสดงผลเป็นชื่อบัญชีของเราและคนที่ Invite และโพสต์จะไปปรากฎทั้ง 2 ฝั่งทันที

Invite Collaborator ใช้ได้กับการโพสต์ภาพนิ่ง วิดีโอ และ IG Reels โดยจำกัดแค่บัญชีที่ตั้งค่าเป็นสาธารณะเท่านั้น

ข้อดีและประโยชน์ที่จะได้คือ ทำให้เราได้ขยายกลุ่มเป้าหมายหรือมีคนเห็นเราเพิ่มมากขึ้น เพราะด้วยโพสต์หรือสตอรี่ของ Partner ที่ให้ความรู้สึกจริงใจ จะช่วยดึงดูดให้ผู้ใช้งานกดคลิกดูเว็บไซต์ผ่านโพสต์ที่เขาพบเห็น และถ้าหาก Partner มีคาแรคเตอร์เหมาะกับธุรกิจ ก็จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานกลุ่มใหม่บนแพลตฟอร์มได้ดีกว่าเดิม

10. สร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์

ปรับแต่งโปรไฟล์ Instagram ของคุณเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการรวมคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและคําค้นหา ทั้งนี้ SEO จะช่วยค้นให้ตั้งแต่ประวัติบน Instagram ตั้งแต่ชื่อไปเลยทีเดียว ดังนั้น การเลือกใช้ชื่อโปรไฟล์ก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้การค้นหาเข้าถึงคุณง่ายขึ้น

ดังนั้น คิดจะตั้งชื่อบัญชีก็ควรคำนึงถึงเรื่องนี้ไว้ด้วย เช่น ถ้าคุณทำคอนเทนต์หรือเป็นแบรนด์เกี่ยวกับ “ท่องเที่ยว” (Travel) เวลาตั้งชื่อก็อาจจะใส่คำนี้ลงไปด้วย เพื่อให้ SEO ทำงาน และสามารถจัดลำดับได้ดีขึ้น หรือจะใส่ไว้ใน Bio คำบรรยายเกี่ยวกับตัวคุณก็ได้

เสริมอีกสักนิด คุณยังสามารถใส่ Location ลงไปที่ Bio ของเราได้ด้วย แต่บัญชีของคุณจะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจ หรือต้องเป็นแอคเคาท์ที่เป็นบิสสิเนสหรือเป็นครีเอเตอร์เท่านั้น ซึ่งในการตั้ง Location ก็จะมีส่วนช่วงใน SEO ได้เช่นกัน

เมื่อเรารู้แล้วว่า Instagram ของเราจะโพสต์คอนเทนต์แบบไหนบ้าง อีกเทคนิคที่ช่วยให้แบรนด์ของเราดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์นั่นก็คือ การควบคุม Mood & Tone ซึ่งการคุม Mood & Tone นั้นเราสามารถทำได้หลายวิธีเช่น

  • การออกแบบกราฟฟิกโดยอิงจากของธุรกิจ
  • การตกแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ หรือปรับโทนสีภาพให้ไปทิศทางเดียวกัน
  • การถ่ายภาพที่ให้ความรู้สึกคล้ายกันทุกรูป หรือให้อารมเหมือนกันกัน
  • การคุมโทนภาพนอกจากจะสร้างความน่าสนใจให้แบรนด์ของเราแล้ว ภาพลักษณ์ยังส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ และช่วยเพิ่มมูลค้าให้กับสินค้าของเราอีกด้วย

11. เปลี่ยนไปใช้บัญชีธุรกิจ

หลายคนอาจสงสัยว่า บัญชีทั่วไป กับ บัญชีธุรกิจต่างกันยังไง? อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ บัญชีทั่วไปนั้นก็เหมือนกับ Facebook ส่วนตัวที่เราใช้โพสต์ พูดคุยกับเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัว แต่สำหรับบัญชีธุรกิจ จะเป็นเหมือนกับ Facebook Page ที่ใช้สำหรับโปรโมทธุรกิจสร้างคอนเทนต์เพื่อให้ผู้คนมากมายมากดติดตามเรา และสามารถลงโฆษณาได้

บัญชีธุรกิจนั้นสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่ช่วยในการโปรโมทธุรกิจได้หลากหลายตัวอย่างเช่น

Instagram Insights : สำหรับดูข้อมูลเชิงลึกของ IG
Instagram ads : ให้เราสามารถโปรโมท หรือยิงโฆษณาบน IG ได้
Instagram Shopping : เปิดร้าน ให้ลูกค้ากดซื้อของได้เลยบน IG

หากเป้าหมายของคุณคือการทำธุรกิจบน Instagram แบบจริงๆจังๆแนะนำให้ใช้บัญชีธุรกิจ เพื่อให้ IG ของเราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

12. ใส่ข้อมูลให้ครบถ้วน

Instagram มีพื้นที่ให้ใส่คำอธิบายเกี่ยวกับร้านค้าของเราอยู่ สูงสุด 150 ตัวอักษร แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีพอให้เราใส่ Contact เพราะบัญชีธุรกิจนั้นจะมีช่องให้เราใส่ข้อมูลการติดต่อแยกออกมาจากคำอธิบาย โดยรวมแล้วสิ่งที่เราต้องใส่ใน Instagram Profile จะมีดังนี้

ชื่อธุรกิจ : ใส่ได้ 30 ตัวอักษร และเป็นส่วนที่แสดงในผลการค้นหา

ชื่อบัญชี : ใส่ได้ 30 ตัวอักษร แสดงอยู่ด้านบนสุดและเป็นส่วนที่แสดงในผลการค้นหาด้วย
เราจะเห็นได้ว่า สิ่งที่แสดงในหน้าผลการค้นหานั้นจะมี ชื่อธุรกิจ และ ชื่อบัญชี หลายๆ แบรนด์จึงนิยมตั้งชื่อบัญชีเป็นชื่อแบรนด์ และตั้งชื่อธุรกิจโดยใช้ Keyword เพื่อให้คนที่ค้นหาบน Instagram สามารถเจอร้านค้า หรือธุรกิจของเราได้ง่ายๆ

Website : URL เว็บไซต์ของเรา ใครที่ยังไม่มีเว็บไซต์จะใส่เป็น Facebook Page, Shopee หรือ LINE Official Account แทนก็ได้

ประเภทธุรกิจ : เป็นเหมือน Tag กำกับว่าธุรกิจของเราอยู่ในหมวดไหน ซึ่ง IG จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้เราระบุได้

ช่องทางการติดต่อ : ระบุอีเมลธุรกิจ เบอร์โทรติดต่อ และที่อยู่ลงไปได้ และเราสามารถเปิดเพื่อใช้ข้อมูลเดียวกับ Facebook Page ได้ด้วย

ปุ่ม Call-to-action : เป็นปุ่มที่ให้ลูกค้าสามารถคลิกเพื่อสั่งซื้อสินค้า, จองบัตร หรือจองที่พักได้ใน Instagram ผ่าน 3rd-Party ที่กำหนดไว้ ซึ่งในไทยอาจไม่ค่อยเห็นคนใช้กัน แต่ถ้าแบรนด์คุณลองหยิบมาใช้รับรองว่าดูเท่แน่นอน

 

สรุป

ดังนั้น SEO ในยุคนี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเขียนบล็อกลงเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังสามารถทำบนโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Instagram ได้(Instagram SEO หรือ SEO Instagram) เพื่อที่คอนเทนท์ของเราจะถูกค้นพบได้ง่ายขึ้นบนแพลตฟอร์ม หรือแม้แต่ได้ขึ้นเป็นอันดับแรกๆ บน Google

หากเรามีการใช้คีย์เวิร์ดที่ผู้คนนิยมค้นหากันในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งการจะทำ SEO ใน Instagram ให้มีประสิทธิภาพได้ เราควรมีเครื่องมือทางการตลาดเข้ามาช่วยวิเคราะห์เพื่อให้ข้อมูลมีความแม่นยำยิ่งขึ้น แล้วเราจะได้เข้าใจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตนเองว่า พวกเขากำลังสนใจอะไร ต้องการอะไร แล้วนำมาต่อยอดว่าเราควรสร้างคอนเทนต์แบบไหนให้โดนใจคนเหล่านั้น อันจะนำมาซึ่งการเติบโตของธุรกิจนั่นเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!