Category Archives: Facebook Ads
สร้างโฆษณา Facebook มีวิธีทำอย่างไรบ้าง อธิบายทุกขั้นตอนที่ต้องรู้ ฟรี!
สอนวิธียิงแอดลงโฆษณาสำหรับคนมือใหม่ไม่มีพื้นฐาน สร้างโฆษณา Facebook Ads เสียราคาซื้อค่าแอดเฟสบุ๊คน้อยแต่ได้ผลดี เทคนิคปรับบัญชีเพจโปรโมทกลุ่มเป้าหมาย ยิงแอดยังไงให้คนทักเยอะ
ยิงแอดเฟสบุ๊ค เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การขายของออนไลน์ประสบความสำเร็จ สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สร้างกำไรและยอดขายได้อย่างถล่มทลาย แต่เจ้าของธุรกิจมือใหม่หลายคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่า ยิงแอดเฟสบุ๊ค ต้องทำอย่างไร และมีเคล็ดลับอะไรบ้างที่ช่วยให้การ ยิงแอดเฟสบุ๊ค ประสบความสำเร็จจนทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น
การยิงแอด facebook (ยิงแอดเฟสบุ๊ค) ถือว่าเป็นเทคนิคสำคัญสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ ที่ช่วยสร้างยอดขายให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีและทำให้แบรนด์ของคุณไปปรากฏสู่สายตาของผู้คนได้มากขึ้น
โดย การยิงแอด หรือ ยิงแอด Facebook นั้นก็คือการที่เราซื้อโฆษณา Facebook เพื่อโปรโมทเพจ สินค้า/บริการ ให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งเป็นอีกเทคนิคของการทำ Social Media Marketing ที่ได้ประสิทธิภาพ
แต่ถ้าหากใครยัง ยิงแอดโฆษณา ไม่เป็น ในบทความนี้ เราเลยขอมาอธิบายวิธีการ สอนยิงแอด Facebook ขั้นตอนลงโฆษณาเฟสบุ๊ค อัพเดตล่าสุด สำหรับมือใหม่ ที่คุณก็สามารถทำตามได้ง่ายๆ จะมีวิธีการอะไรบ้าง ไปติดตามกัน
การยิงแอดคืออะไร
คำว่า “แอด” ย่อมาจาก “Facebook Advertising” คือ การซื้อโฆษณาใน Facebook เพื่อโปรโมทสินค้า/บริการ ให้กลุ่มเป้าหมายของเรา รู้จัก สั่งซื้อ หรือจดจำสินค้าของเราได้ เปรียบเทียบง่ายๆเหมือนกับที่แบรนด์ต่างซื้อโฆษณาในทีวี เพื่อให้ผู้ชมอย่างเราเห็น
ยิงแอด Facebook ราคาเท่าไหร่?
หากถามว่ายิงแอดเฟสบุ๊คเสียเงินไหม บอกเลยว่าเสียแน่นอน แต่ข้อดีก็คือ Facebook Ads มีความยืดหยุ่นสูง โดยคุณสามารถกำหนดงบประมาณในการยิงแอดต่อวันให้เหมาะสมกับงบที่มีได้ ซึ่งงบขึ้นต่ำที่ทาง Facebook กำหนดก็คือวันละ 30 บาทนิด ๆ แต่จากกรณีศึกษาของหลายเคสแล้ว งบยิงแอด Facebook ที่ได้ผลดีนั้นเริ่มจากประมาณ 100 – 1,000 บาทต่อวัน
เหตุผลที่ต้องตั้งงบไว้สูงหน่อยในการยิงแอดช่วงแรกก็เพราะว่าแม้คุณจะเลือกกลุ่มเป้าหมายได้เจาะจงแค่ไหน แต่ก็เป้าหมายก็จะยังไม่แม่นยำสักเท่าไหร่ เนื่องจากในกลุ่มที่เลือกยิงแอดมักจะมีลูกค้าที่ไม่สนใจสินค้าหรือบริการของร้านปนอยู่ด้วย
การเตรียมตัวก่อนเริ่ม สร้างโฆษณา Facebook
1. เตรียมชิ้นงานโฆษณาให้พร้อม
ชิ้นงานที่ทำไว้สำหรับทำโฆษณาใน Facebook ไม่จำเป็นต้องโพสต์อยู่บนเพจเสมอไป เพราะเมื่อ Set Ad จริง ๆ แล้ว คุณสามารถเลือกสร้างโฆษณาใหม่ โดยไม่ต้องตั้งค่าให้ปรากฏบนหน้าเพจได้ อย่างไรก็ตาม ภาพ วิดีโอ และคำบรรยายที่จะใช้ ต้องพร้อมก่อนเริ่มยิงแอด
2. เตรียมข้อมูลลูกค้า
ในขั้นตอนการยิงแอดจะมีเมนูให้ตั้งค่าค่อนข้างละเอียด หลัก ๆ จะเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย หรือคนที่คุณอยากให้พวกเขากลายเป็นลูกค้า อาทิ อายุ เพศ ความสนใจ หรือที่อยู่อาศัย คุณจึงควรสำรวจข้อมูลเหล่านี้และรวบรวมมาให้พร้อมก่อนยิงแอด
หรืออาจกำหนดไว้หลายกลุ่มเป้าหมาย แล้วทดลองตั้งค่าโฆษณาที่ Support เป้าหมายแต่ละกลุ่ม ซึ่งส่วนนี้จะอยู่ในขั้นตอนการสร้างชุดโฆษณา (Ad Set) ที่เราจะอธิบายในเนื้อหาต่อไป
3. งบประมาณ
เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งค่าโฆษณาใน Facebook คุณจะสามารถวางแผนงบประมาณได้ 2 แบบ คือ กำหนดงบประมาณที่ใช้จ่ายต่อวันไว้แบบตายตัว และการตั้งงบให้รันยาวตลอดทั้งแคมเปญ ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกตั้งค่าแบบใด คุณก็จำเป็นต้องมีงบประมาณทั้งก้อนไว้ใช้สำหรับยิงแอด Facebook นั่นเอง
เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเริ่มต้นยิงแอด ลงโฆษณา Facebook Ads
ก่อนที่เราจะสอนลงโฆษณา Facebook Ads เราอยากให้คุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับ 4 เรื่องเหล่านี้ก่อนลงมือทำ
1. จะยิงแอดต้องยิงผ่าน Facebook Fanpage เท่านั้น
การลงโฆษณา Facebook เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราทำการเปิด Facebook Fanpage เท่านั้น การลงโพสต์ใน Facebook ส่วนตัวเพื่อโปรโมตสินค้าจะไม่สามารถนำโพสต์นั้นมายิงโฆษณาได้
2. การ Boost Post ต่างกับการทำ Facebook Ads อย่างไร
การกดปุ่ม Boot Post และการยิงโฆษณาผ่าน Facebook Ads นั้นมีความต่างกันทั้งในแง่ของการใช้งานที่การ Boot Post ดีในด้านความง่าย แต่อาจจะตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายและ Goal ได้ไม่ละเอียดเท่าการลงโฆษณา Facebook Ads และประสิทธิภาพของการปรับแต่งโฆษณาที่เห็นได้ชัดเจนว่า การลงโฆษณา Facebook Ads ทำได้มากกว่า เพียงแต่มีความคล้ายกันในด้านการแสดงผลจากการซื้อโฆษณาเท่านั้นเอง
3. อย่าใช้โทรศัพท์มือถือในการบริหารและลงโฆษณา Facebook
เพราะฟังก์ชันในการลงโฆษณาบนโทรศัพท์มีไม่ครบเหมือนกับการยิงผ่าน Facebook Ads Manager บนคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจส่งผลถึงความแม่นยำ ค่าใช้จ่าย และ Goal ที่ตั้งไว้ได้
4. ชิ้นงานที่ใช้ทำโฆษณาของ Facebook Ads ต้องโพสต์บนเพจก่อนไหม?
การลงโฆษณา Facebook ไม่จำเป็นต้องโพสต์ลงบนเพจก่อนทุกครั้ง แต่เราสามารถสร้างชิ้นงานโฆษณาที่ลอยๆ อยู่ในระบบ Facebook Ads ได้ (เราเรียกกันว่า Unpublished Post หรือ Ad Post) ซึ่งตัว Ad Post จะสร้างและนำไปใช้งานได้หลากหลายกว่า
วิธีสร้างบัญชี ACCOUNT โฆษณาใน FACEBOOK ADS MANAGER
Facebook Ads Manager คือ เครื่องมือที่ใช้ปรับแต่งและยิงโฆษณาแบบครบวงจรบน Facebook (ปัจจุบันเรียกใหม่ได้ว่า Meta Ads Manager ควบรวมการจัดการโฆษณาสำหรับทุก Social Media ในเครือ Meta) สำหรับการเริ่มต้นใช้งาน ให้ Login บัญชี Facebook ที่ผูกกับเพจธุรกิจของคุณ จากนั้น คลิกที่นี่ เพื่อสร้างบัญชี Facebook Ads
วิธีการยิงแอด Facebook ให้ได้ผล จะแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
- สร้าง Account
- เข้าสู่หน้า Overview
- สร้าง Campaign
- สร้าง Ad sets
- สร้าง Ads
โครงสร้างการตั้งค่าโฆษณาใน FACEBOOK ADS MANAGER
การตั้งค่าโฆษณาบน Facebook จะประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
- แคมเปญ (Campaign)
- ชุดโฆษณา (Ad Set)
- ชิ้นงานโฆษณา (Ad)
ซึ่งจะแตกต่างกันเป็นลำดับขั้นดังนี้
1. แคมเปญ (CAMPAIGN)
แคมเปญมีไว้เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ของโฆษณา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่
- Awareness (โฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้)
Brand Awareness : เป็นการสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มสนใจในโฆษณา Facebook Ads เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์และจดจำให้มากขึ้น
Reach : เป็นการเน้นการแสดงผลโฆษณาให้คนเห็นได้มากที่สุด และเลือกความถี่ในการเห็นซ้ำๆ บ่อยๆ ได้จากการกำหนด Frequency Capping ในการโฆษณา
- Consideration (โฆษณาเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม)
Traffic : เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากทั้งในและนอก Facebook โดยมีตัวชี้วัดเป็น จำนวนการเข้าชม (Landing Page Views) และจำนวนการคลิกลิงก์ (Link Clicks)
Engagement : เพิ่มการเห็นและนำส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์เป็นลำดับต้นๆ โดยผลลัพธ์มักจะได้เป็นการกดไลก์ แชร์ คอมเมนต์ ฯลฯ
App Installs : เพิ่มโอกาสให้คนดาวน์โหลดหรือซื้อแอปพลิเคชัน (จะแสดงผลบนโทรศัพท์เท่านั้น)
Video Views : เพิ่มจำนวนการรับชมวิดีโอ ให้กลุ่มเป้าหมายคุ้นเคยกับแบรนด์หรือสินค้าด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจ
Lead Generation : เพิ่มจำนวนลูกค้า ด้วยการเก็บข้อมูลลูกค้าในรูปของแบบฟอร์ม โดยคุณสามารถใช้รายชื่อลูกค้าเหล่านี้มาทำ CRM ย้อนหลังได้อีกด้วย
Messages : เพิ่มโอกาสในการที่กลุ่มเป้าหมายจะส่งข้อความกลับมาหาคุณ เหมาะสำหรับกลุ่มพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ หรือธุรกิจอยากปิดการขายบน Facebook Messager เป็นหลัก
- Conversion (โฆษณาที่ต้องการปฏิกิริยาตอบกลับจากลูกค้า เช่น คลิกในเว็บไซต์ หรือขายแค็ตตาล็อก)
Conversions : เข้าหากลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสจะทำ Action บางอย่างที่เราอยากได้ เช่น ซื้อสินค้าในเว็บไซต์ ลงทะเบียนรับข่าวสาร ฯลฯ เพื่อนำไปสู่ยอด Conversion ที่คุณต้องการ แต่การทำโฆษณาวัตถุประสงค์นี้จำเป็นต้องมีการติดตั้ง Facebook Pixel เสียก่อน
Catalogue Sales : หากคุณขายสินค้าที่หลากหลายแบบ E-commerce สามารถใช้ Objective นี้ในการสร้างแอดหน้าตาคล้ายกับแคตตาล็อกได้เลย
Store Traffic : เป็น Objective ที่ช่วยแสดงตำแหน่งที่ตั้งของร้าน เพื่อโปรโมทธุรกิจกับคนที่อยู่ใกล้เคียงได้ตามที่กำหนด
เราสามารถดูผลลัพธ์ และ จัดการแคมเปญโฆษณา Facebook Ads ต่างๆ ได้ในหน้า Campaign ของ Facebook Ads Manager เช่น
Create Campaign : สร้างแคมเปญโฆษณา Facebook Ads ใหม่
Duplicate Existing Campaign : สร้างแคมเปญโฆษณา Facebook Ads ซ้ำ
Edit : ปรับแต่ง และ อัปเดตแคมเปญต่างๆ เช่น ลิมิตการจ่ายเงินสำหรับ Facebook Ads เป็นต้น
Insight : ดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแคมเปญ Facebook Ads นั้นๆ
Export and Share : เราสามารถดึงข้อมูลแคมเปญ Facebook Ads ออกมาเป็น Excel ได้
2. ชุดโฆษณา (AD SET)
โครงสร้างต่อมามีไว้เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายและรูปแบบโฆษณาบน Facebook ว่าอยากให้ปรากฏเป็นรูปแบบใด ตลอดจนกำหนดงบประมาณที่ใช้ในการโฆษณาด้วย โดยใน 1 แคมเปญ สามารถมีได้มากกว่า 1 ชุดโฆษณา แล้วแต่การตั้งค่า
3. ชิ้นงานโฆษณา (AD)
โครงสร้างสุดท้ายคือการลงละเอียดในตัวชิ้นงานโฆษณาบน Facebook เช่น การกำหนดรูปภาพ วีดิโอ และการใส่คำบรรยาย (Caption) ซึ่งใน 1 ชุดโฆษณาก็สามารถมีได้หลายชิ้นงาน ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าเช่นเดียวกัน
วิธียิงแอด FACEBOOK อัปเดตล่าสุด
โดยที่เมนู Campaign จะเป็นเหมือนร่มใหญ่ที่ครอบ Ad sets และ Ads เอาไว้ ซึ่งเราสามารถจัดการแคมเปญต่างๆ และดูผลลัพธ์แบบภาพรวมได้ทั้งหมดในหน้านี้ เช่น
- Create Campaign : สร้างแคมเปญโฆษณา Facebook Ads ใหม่
- Duplicate : สร้างแคมเปญโฆษณาเดิมซ้ำ
- Edit : ปรับแต่งแคมเปญ เช่น ปรับแต่งชื่อแคมเปญ, เริ่มต้นทำ AB Test, กำหนดลิมิตการใช้เงินโฆษณา
- A/B Test : สร้างการทดสอบ A/B Test ของโฆษณาได้
1. ตั้งค่าแคมเปญ (CAMPAIGN)
- เมื่อเข้าสู่หน้า Ad Accounts แล้ว ให้คลิกที่เครื่องหมายขีด 3 ขีดด้านบนซ้าย จะปรากฏหน้า Shortcuts เลือก “Ads Manager”
- เริ่มสร้างแคมเปญ โดยคลิกที่ button สีเขียว “Create”
เลือก Campaign Objective โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ได้แก่
- Awareness (โฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้)
- Consideration (โฆษณาเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม)
- Conversion (โฆษณาที่ต้องการปฏิกิริยาตอบกลับจากลูกค้า เช่น คลิกในเว็บไซต์ หรือขายแค็ตตาล็อก)
หากคุณเริ่มยิงแอดโดยใช้โพสต์บนเพจ แนะนำให้เลือก Brand Awareness เพื่อให้คนเริ่มจดจำ Identity ทั่วไปของแบรนด์ หรือ Engagement เพื่อแสดงโฆษณาไปยังกลุ่มที่มีแนวโน้มจะไลค์ แชร์ หรือคอมเมนต์มากที่สุดก่อน
- เมื่อเลือก Campaign Objective เสร็จสิ้น ระบบจะให้คุณตั้งค่ารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับแคมเปญ ได้แก่ ชื่อ และ Catagory ใส่รายละเอียดของแคมเปญ ได้แก่
- ชื่อแคมเปญ
- การทำ A/B Test โดยสามารถเลือกได้ว่าจะทำ A/B Testing หรือไม่
- การกำหนด Budget ที่จะใช้ในแคมเปญนี้ โดยจะเลือกได้ว่าจะจ่ายเป็นรายวัน (Daily Budget) หรือตั้งงบลงโฆษณาแบบตลอดอายุ (Lifetime Budget) ซึ่งจะเป็นการใช้งบจนกว่าจะหมดตลอดทั้งแคมเปญ
การวางแผนงบประมาณ (Budget) ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ 2 แบบ ได้แก่
- กำหนดงบประมาณที่ใช้จ่ายต่อวัน (Daily Budget) เช่น หากคุณกำหนดว่าใน 1 วัน โฆษณาต้องใช้เงินไม่เกิน 300 บาท เมื่องบโฆษณาบน Facebook ถึงเกณฑ์ที่กำหนด โฆษณาทั้งหมดก็จะหยุดรัน และเริ่มใหม่ในวันถัดไป
- อนุญาตให้ยิงแอดโดยรันงบยาวตลอดทั้งแคมเปญ (Lifetime Budget) เช่น หากคุณใส่เงินไว้ทั้งหมด 10,000 บาท โฆษณาก็จะรันยาวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใช้เงินหมด 10,000 บาท ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์ก็ได้
- Daily Budget
ข้อดีของ Daily Budget
ต้นทุนของโฆษณาจะไม่ผันผวน (ระบบจะสามารถใช้งบไม่เกินจากที่ตั้งไว้ 25%) รวมถึงมีความสะดวกในการเปิด-ปิดแคมเปญโฆษณา หรือเลื่อนวันสิ้นสุดแคมเปญ เพราะการเปิด-ปิดแคมเปญโฆษณาจะไม่ทำให้ยอดการใช้จ่ายเปลี่ยนไป
ข้อเสียของ Daily Budget
การตั้งงบแบบนี้จะมีความยืดหยุ่นน้อย เพราะถ้าหากวันไหนที่เรายิงแอดเฟสบุ๊คแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีในวันนั้น ก็อาจจะทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ควรจะเป็นเนื่องจากงบประมาณมีจำกัด ในขณะเดียวกันถ้าหากวันไหนที่ผลลัพธ์แอดของเราไม่ค่อยดี แต่ระบบก็ยังคงจะบังคับให้ใช้เงินตามเป้าที่เรากำหนดไว้ นี่ก็อาจทำให้ต้นทุนต่อผลลัพธ์ของเราอาจสูงขึ้นได้
ข้อควรระวังของ Daily Budget
ระบบจะไม่กำหนดวันสิ้นสุดแคมเปญมาให้ ถ้าหากเราไม่ได้กำหนดวันสิ้นสุดเอาไว้ แคมเปญนี้ก็อาจจะวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนทำให้เราต้องเสียเงินไปจำนวนมากก็ได้
- Lifetime Budget
ข้อดีของ Lifetime Budget
มีความยืดหยุ่นสูงในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ เพราะโฆษณาจะสามารถทำงานและแสดง Performance ออกมาได้อย่างเต็มที่ รวมถึงค้นหาโอกาสที่ดีที่สุดให้กับโฆษณาของเรา โดยที่ไม่มีงบประมาณรายวันมาเป็นเพดานที่ตั้งเอาไว้
ข้อเสียของ Lifetime Budget
ไม่สามารถวางแผนงบประมาณเป็นรายวันได้ เพราะความผันผวนขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ได้ในแต่ละวัน ซึ่งก็อาจทำให้ยากต่อการวางแผน
หมายเหตุ
- อย่าลืมว่านี่คือการกำหนดงบประมาณในระดับแคมเปญ หากคุณวางแผนจะสร้างโฆษณาหลายชุดโฆษณา (Ad Set) ในแคมเปญเดียว การวางแผนเงินในส่วนนี้จะหมายถึงการเฉลี่ยเงินสำหรับทุกชุดโฆษณาภายใต้แคมเปญนี้ทั้งหมด
- เมนู Advantage Campaign Budget นี้ สามารถปิดใช้งานได้ ซึ่งเหมาะกับคนที่ไม่สะดวกจะกำหนดงบประมาณในระดับแคมเปญ หากคุณยังไม่ได้กำหนดงบประมาณในส่วนนี้ ระบบจะบังคับให้ตั้งค่าอีกทีในส่วนชุดโฆษณา
2. ตั้งค่าชุดโฆษณา (AD SET)
- ถัดจากการตั้งค่าแคมเปญ จะเข้าสู่การตั้งค่าชุดโฆษณา โดยเริ่มจากการตั้งชื่อ Ad Set
- ถัดมาคือเรื่องของงบประมาณ หากคุณตั้งค่าแล้วตั้งแต่ในระดับแคมเปญ ระบบจะแจ้งว่าข้อมูลให้อิงตามส่วนนั้น ไม่ต้องกำหนดซ้ำ
- ในขณะเดียวกัน หากคุณปิดเมนู Advantage Campaign Budget เพื่อรอตั้งค่าในระดับ Ad Set ก็สามารถตั้งค่าได้ที่ส่วนนี้
- เมนูต่อไป คือ การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง Facebook Ads Manager จะรองรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น อายุ เพศ ความสนใจ ภาษาที่ใช้ ไปจนถึงการกำหนดหมุดหมายของ Location
คุณสามารถเลือกกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้จากการสร้าง New Audience ซึ่งจะแบ่งเป็น
- Custom Audiences (กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง) ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สร้างขึ้นมาได้โดยใช้ข้อมูลจากธุรกิจเราโดยตรงทั้งที่อยู่ในระบบ Facebook (On-Facebook) หรือข้อมูลที่อยู่นอกระบบ Facebook (Off-Facebook)
- Lookalike Audiences (กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน) โดยจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ใช้หากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกับกลุ่มลูกค้าเดิมของเรา
แต่ถ้าหากคุณยังไม่มีข้อมูลฐานลูกค้ามากพอที่จะทำ Custom และ Lookalike Audience คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการใช้ Saved Audience โดยการกำหนด ความสนใจ พฤติกรรม ข้อมูลประชากร ตามตัวเลือกที่ระบบโฆษณาบน Facebook มีให้
Audience คือ การกำหนดข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ Facebook ส่งโฆษณาให้กลุ่มผู้ใช้งานเหล่านั้น
- Location คือ เลือกเป็น People who live this location คือ กลุ่มคนที่อยู่ในสถานที่นั้น เช่น เราจะส่งโฆษณานี้ให้คนไทย เราก็ต้องเลือก Thailand
- Age คือ กำหนดช่วงอายุของกลุ่มเป้าหมายของเรา
- Gender คือ กำหนดเพศของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการส่งโฆษณาไปให้ถึง
Detailed Targeting : เลือก Targeting สำคัญที่สุดเพราะเราจะกำหนดเป้าหมายแบบละเอียดได้ในหัวข้อนี้
- Demographics คือ ลักษณะทางประชากรศาสตร์ เช่น การศึกษา การทำงาน และไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ
- Interests คือ ความสนใจกิจกรรมที่ชอบและหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่าง ขายคอร์สออกกำลังกาย ก็ต้องเลือกเป็น Fitness and wellness
- Behaviors คือ พฤติกรรมของผู้ใช้งาน ตั้งแต่ การใช้โทรศัพท์ การซื้อของออนไลน์
นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งค่า Location ของกลุ่มเป้าหมายได้ว่าอยู่ที่ไหน รวมถึงกำหนด Demographic อย่าง อายุ เพศ ความสนใจ และพฤติกรรมเฉพาะของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการจะส่งโฆษณาไปถึงได้อีกด้วย
- เมื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายเสร็จสิ้น จะเข้าสู่การกำหนดพื้นที่โฆษณา ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าอยากลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มใดบ้าง สำหรับอุปกรณ์ (Device) แบบใด (แนะนำให้กำหนดเองด้วยการเลือก Manual Placement)
Locations
กำหนดขอบเขตพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยสามารถเลือกได้หลากหลายขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และยังมีตัวเลือกเพิ่มเติมเพื่อความแม่นยำในการเลือก Locations ซึ่งสามารถเลือกได้ดังนี้
- Everyone in this location : ทุกคนในตำแหน่งที่ตั้งนี้
- People who live in this location : ผู้ที่อาศัยอยู่ในตำแหน่งที่ตั้ง
- People recently in this location : ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่ตั้งนี้เมื่อไม่นานมานี้
- People traveling in this location : ผู้ที่กำลังเดินทางมาในตำแหน่งที่ตั้งนี้ แต่ที่อยู่อาศัยห่างออกไปเกิน 200 km
นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดเพิ่มเติมได้อีกว่าต้องการแสดงโฆษณาในพื้นที่ใดที่เป็นพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมาย หรือไม่ต้องการแสดงโฆษณาในพื้นที่ใด
- Include : แสดงโฆษณา ให้คนในพื้นที่ๆเลือกไว้
- Exclude : ไม่แสดงโฆษณา ให้คนในพื้นที่ๆเลือกไว้
Placement
Automatic placements : ตำแหน่งการจัดวางอัตโนมัติ โฆษณาจะแสดงโดยอัตโนมัติในตำแหน่งต่างๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะมีประสิทธิภาพสูงสุด บน Feed Facebook, คอลัมภ์ด้านขวาของ Facebook, Instagram, Audience Network
Edit placements : แก้ไขตำแหน่งการจัดวาง สามารถกำหนดตำแหน่งการจัดวางได้อย่างละเอียด โดยสามารถเลือกประเภทอุปกรณ์ที่ต้องการให้แสดงโฆษณาว่าจะเป็นบนอุปกรณ์มือถือ หรือบนเดสก์ท็อป รวมไปถึงกำหนดตำแหน่งพื้นที่ ที่ต้องการแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Audience Network
- นอกจากนี้ คุณยังสามารถกำหนดได้ว่าอยากให้โฆษณาไปปรากฏในส่วนใดของแพลตฟอร์มนั้น ๆ เช่น บน Feedข่าว กล่องข้อความ หรือใน Story พร้อมภาพ Mock-up ตัวอย่างให้ดูเพื่อประกอบการตัดสินใจ
- และหากคุณมองว่าระบบปฏิบัติการ IOS และ Android มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าด้วย ก็สามารถตั้งค่าได้ว่า อยากให้โฆษณาโชว์บนอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการใด
Placement คือ การเลือกว่าจะให้โฆษณาไปแสดงผลในส่วนไหนของ Platforms
- เลือก Device โดยเลือกได้เป็นให้แสดงโฆษณานี้เฉพาะการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์หรือบนโทรศัพท์ แนะนำให้เลือกทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์
- เลือก Platforms ที่ต้องการให้โฆษณาแสดงผล เลือกได้ทั้ง Facebook, Instagram, Messenger ผู้ใช้งานครั้งแรกแนะนำให้เลือกเป็น Facebook
สำหรับคนที่เริ่มต้นยิง Facebook Ads ต้องอย่าลืมดู Audience Definition ประกอบกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายด้วยว่า อยู่ในขนาดที่พอดีหรือไม่
- ถ้าหากอยู่ในเกณฑ์สีเขียว หมายถึง กลุ่มเป้าหมายมีขนาดกำลังพอดี
- สีเหลือง หมายถึง กลุ่มเป้าหมายกว้างเกินไป ทำให้โฆษณาอาจเข้าไม่ถึงกลุ่มลูกค้าที่มุ่งหวัง
- สีแดง หมายถึง กลุ่มเป้าหมายแคบไป อาจทำให้การหากลุ่มเป้าหมายที่จะทำการโฆษณาทำได้ยากขึ้น
ซึ่งคุณจะดูตัวเลขสรุปยอดคนที่สามารถเข้าถึงได้จาก Potential Reach ว่ามากหรือน้อยเกินไป ถ้าหากมากเกินไปก็ควรจะกำหนดกลุ่มเป้าหมายหรือเพิ่มความสนใจให้แคบลง
Connections การมีส่วนร่วมกับเพจ
การกำหนดให้โฆษณาเชื่อมต่อกับเพจ แอป หรือกิจกรรม
- Facebook Pages
People who like your Page : คนที่ถูกใจเพจคุณ
Friends of people who like Page : เพื่อนของผู้ที่ถูกใจเพจของคุณ
Exclude people who like your Page : ไม่รวมผู้ที่ถูกใจเพจของคุณ
- Apps
People who used your app : ผู้เคยใช้แอปของคุณ
Friends of people who like your app : เพื่อนของผู้ที่เคยใช้แอปของคุณ
Exclude people who like your app : ไม่รวมผู้ที่เคยใช้แอปของคุณ
- Events
People who responded to your event : ผู้ที่ตอบรับงานกิจกรรมของคุณ
Exclude people who already respond to your event : ไม่รวมผู้ที่ตอบรับงานกิจกรรมของคุณ
3. ตั้งค่าชิ้นงานโฆษณา (AD)
Ad name คือ ตั้งชื่อโฆษณา ส่วน Identity คือ การเลือกเพจที่เราต้องการยิงแอดลงโฆษณา
- การตั้งค่าตัวชิ้นงานโฆษณา เริ่มจากการตั้งชื่อโฆษณา และเลือก Facebook Page ที่จะนำมาใช้โฆษณา
จากนั้นตั้งค่า Ad Setup เพื่อเลือกว่าคุณจะสร้างโฆษณาขึ้นมาใหม่ หรือจะใช้โพสต์บนเพจ โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่
- สร้างชิ้นงานโฆษณาใหม่ ไม่ให้อยู่บนหน้าเพจ (Create Ad)
- ยิงแอดโดยใช้โพสต์บนเพจ (Use Existing Post)
- เลือกใช้แบบจำลองของสินค้าแทนภาพจริง (Use Creative Hub Mockup)
หากคุณเลือก Use Existing Post ระบบจะให้คลิกเลือกโพสต์จากเพจ แต่หากเลือก Create Ad ระบบจะให้ Add ภาพหรือวีดิโอที่จะใช้ พร้อมระบุคำบรรยายประกอบ (Caption)
เมื่อ Add Media แล้ว ระบบจะแนะนำ Format และขนาดที่เหมาะสม โดยคุณสามารถกำหนดขนาดได้เองตามต้องการ
หากคุณเลือกการสร้างแอดใหม่ คุณสามารถเลือก Format ที่จะไปแสดงผลเป็นรูปแบบโพสต์ประเภทต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- Image โฆษณาประเภทรูปภาพ ใช้ jpg หรือ png ในขนาด 1.91 : 1 ถึง 4 : 5
- Video โฆษณาประเภทวิดีโอ ใช้ได้เกือบทุกสกุลไฟล์ แต่จะมีการกำหนดความยาวว่าต้องไม่น้อยกว่า 1 วินาที สูงสุดไม่เกิน 240 นาที และมีสัดส่วน 9 : 16 ถึง 16 : 9
- Carousel โฆษณาในรูปแบบสไลด์ ใช้ได้ทั้งแบบรูปภาพและวิดีโอ โดยจะต้องมีจำนวนทั้งหมด 2 ภาพ หรือ 2 วิดีโอขึ้นไป ซึ่งการยิง Ads รูปแบบนี้จะต้องมี Landing page รองรับ
- Full-screen mobile Experience หรือการทำ Canvas Ads เป็นโฆษณาที่คุณสามารถนำเสนอสินค้าด้วยสื่อต่างๆ ทั้งรูปภาพ วิดีโอ ข้อความ รวมไปถึงการมีลิงค์เพื่อสั่งซื้อหรือสอบถามได้ในโพสต์เดียว
นอกจาก Format ที่ต้องดึงดูดเตะตาแล้ว เรื่องของ Headline และแคปชั่นเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่คุณต้องครีเอตไอเดียในการเล่าเรื่องของสินค้าและบริการที่ต้องการนำเสนอให้ออกมาโดนใจกลุ่มเป้าหมายให้ได้
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างโฆษณาเมื่อปรากฏในรูปแบบต่างๆให้ดูอีกด้วย
- ส่วนสุดท้าย คือการตั้งค่า Tracking เพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้า ว่าโฆษณาที่เราทำมีผลต่อการเข้าชมเว็บไซต์หรือไม่ โดยการใช้งานส่วนนี้จำเป็นจะต้องลงทะเบียนใช้ Facebook Pixel ก่อน หากคุณไม่ได้ติดตั้ง Facebook Pixel ก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ และกด Publish ได้เลย
หลังจากกด Publish แล้ว ระบบจะพากลับไปยังหน้า Homepage และแสดงโฆษณาทั้งหมดที่คุณสร้างไว้ โดยโฆษณาที่สร้างใหม่จะอยู่ในสถานะ “รอการตรวจสอบ (In Review)” เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว สถานะจะเปลี่ยนเป็น “Active” และมีข้อความแจ้งเตือนการเริ่มแสดงโฆษณา
4. ตั้งค่าการชำระเงิน
สำหรับการชำระเงิน ให้คุณคลิกที่เครื่องหมายขีด 3 ขีดด้านซ้ายมือ เลือกเมนู “การเรียกเก็บเงิน (Billing)” และคลิก “Payment Setting”
ระบบจะให้คุณเลือกวิธีการชำระเงิน ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากถึง 5 ช่องทาง สามารถเลือกช่องทางที่คุณสะดวกได้เลย
วิธีสร้างและลง Facebook Pixel ด้วยตัวเอง
สำหรับคนที่ยังไม่เป็น เราจะมาสอนการสร้างและลง Pixel ด้วยตัวเอง ด้วยวิธีง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
- ตอนแรกให้เข้าไปที่ Ad Manager แล้วกดขีดแนวนอน 3 ขีด ที่หัว tab ชื่อ Ads manager ด้านบนซ้าน
- ให้เลือกเมนูย่อยที่มีคำว่า pixel แล้วกด
- กด set up pixel
- คุณจะเจอ 3 ตัวเลือกครับ ให้เลือก manually install the code yourself ตัวตรงกลาง
- สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ WordPress ให้ Copy โค้ดตัวนี้แล้วเอาไปใส่ใน
ในเพจ Index ของคุณได้เลย - สำหรับคนที่ใช้ WordPress เข้าไป Copy ตัวเลขแทน ไม่ต้องไปยุ่งยากกับ Code
- จากนั้นก็หา Plugin ฟรีที่จะสามารถช่วยคุณใส่เลขได้ง่ายๆ ใช้คำว่า “Facebook Pixel” ที่ tab ADD PLUGINS ของ Wordpress เลือกได้ตามสบายเลย
- หลังจากนั้นก็เอาเลขมาใส่ที่ Pixel ID ของ FACEBOOK PIXEL settings ของ plugin ที่เลือก แล้วก็กด “Save changes” หรือ เซฟข้อมูล ก็เป็นอันที่เรียบร้อยแล้ว
- จากนั้นก็รอสักพัก แล้วถ้าทุกๆอย่างเสร็จแล้ว ให้ไปดูที่ Data sources ของ Facebook manager ได้เลย จะพบข้อมูล run อยู่ให้ชม
สอนวิธีทำรูปลงโฆษณา Facebook ฟรี!!! ทำยังไง มาดูกัน
ตอนนี้การทำรูปโฆษณา Facebook ไม่ยากแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยมีอุปกรณ์มารองรับสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มีเยอะมาก
โดยเราจะมาแนะนำตัวที่ชอบจริงๆมีอยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ Canva โดยจะเป็นโปรแกรมเครื่องมือฟรี!!!
- ให้เข้าไปที่เว็บของ Canva แล้วก็กดปุ่ม start designing a facebook ads เพื่อเริ่มทำไปพร้อมๆกับเราเลย ตอนกดเข้าไปเขาจะให้คุณสมัครนิดหน่อย แต่ไม่มีปัญหาสมัครง่ายมาก คุณสามารถสมัครโดยการใช้บัญชีของ Gmail หรือ Facebook คุณก็ได้
- Canva จะถามคำถามคุณนิดหน่อยเพื่อจะได้ช่วยเลือก Template โฆษณาให้คุณได้
- เลือกเสร็จแล้วก็จะมาหน้าเลือก Template ว่าจะใช้ตัวไหนที่เหมาะกับโฆษณาของคุณ ลองเลื่อนดูเล่นๆนะ ดูว่าอันไหนถูกใจคุณที่สุด
- เมื่อเลือก Template เรียบร้อยแล้วก็ลองแต่งรูปดู
- หลังจากตกแต่งอะไรเรียบร้อยแล้วก็กด “Download” ได้เลย แล้ว Canva จะถามว่าอยากจะเอา File นามสกุลอะไร เราแนะนำให้เลือก PNG นะ จากนั้นก็กด “Download” ได้เลย
วิธียิงแอด facebook ให้เสียค่าโฆษณาราคาถูก
การทำโฆษณาเฟสบุ๊กทุกๆครั้ง คุณต้องรู้ว่าอะไรควรจะทำและอะไรที่ควรจะหลีกเลี่ยง เรา List มาให้เรียบร้อยแล้ว มาดูกันเลยดีกว่า
1. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
คุณต้องชัดเจนก่อนที่คุณจะทำโฆษณาได้ครับว่าคุณต้องการอะไรจากแคมเปญนี้
2. ตั้งเป้าหมายให้ถูกต้อง
หลังจากตั้งชัดเจนแล้วต้องตั้งให้ถูกด้วย เช่น คุณต้องตั้งเป้าหมายให้เป็น Sales หรือ Leads ไม่ใช่แค่ให้มีคนเห็นหรือไลค์ เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่จำเป็น (Vanity metrics)
3. อย่าสร้างแค่โฆษณาเดียว
การทำโฆษณาทุกๆอย่างถ้าคุณไม่สร้างโฆษณามาหลายๆแบบเอามา A/B Testing กัน คุณก็จะพลาดโอกาสหลายอย่าง เช่น รูปโฆษณาของคุณอาจจะยังไม่ดีพอแต่คุณไม่รู้เพราะว่าไม่ได้ทดลองดู เป็นต้น
4. อย่า A/B Test ทุกๆอย่าง
หลายๆคนอ่านเรื่อง A/B Testing มาแล้วอยากจะลองเปลี่ยนแปลงโฆษณาดูว่าอันไหนได้ผลดีหมด บอกเลยนะว่าการทำแบบนี้ดี เพราะจะทำให้คุณเข้าใจลูกค้ามากขึ้น แต่อย่าทำเยอะเกินไป
5. ตั้ง Daily budget
ตั้ง Daily budget ให้ไม่เกินวันละ 100 บาท อย่าไปหวังแต่ Facebook จัดการงบให้โดยการใช้ Lifetime budget
6. อย่าไปคิดมากกับ Placements
หลายๆคนที่ทำใหม่อาจจะกังวล และอยากที่จะเข้าใจทุกๆอย่างก็เลยเลือก Ad Placements มั่วๆ และคิดว่าจะได้ผลดีที่สุด มันไม่ใช่นะ ในการทำโฆษณา เราเคยบอกไปแล้วนะว่าต้องทดลองอย่างเดียวถึงจะรู้ อย่าเดาเอานะ
7. ต้องใช้ Facebook Pixel
วิธีสร้างโฆษณา Facebook จะสำเร็จได้หรือเปล่าขึ้นอยู่กับข้อมูลฐานลูกค้าที่คุณสร้าง แล้ว Facebook pixel จะเป็นตัวที่ช่วยจำข้อมูลอะไรพวกนี้ทั้งหมด
8. ต้องใช้ Facebook Remarketing
วิธีลงโฆษณา Facebook หลายๆอย่างข้อเสียก็คือไม่ว่าเราจะยิงโฆษณาดียังไง มันก็ไปโดนคนที่ไม่ค่อยสนใจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตัว Facebook Remarketing ก็จะเป็นตัวเปลี่ยน
การกดโปรโมทโพสต์ FACEBOOK ไม่ใช่การยิงแอด
อันที่จริงแล้วยังมีการซื้อโฆษณาใน Facebook อีกรูปแบบหนึ่ง คือการกด “โปรโมทโพสต์ (Boost Post)” ใต้โพสต์ ซึ่งสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายและงบประมาณได้เช่นเดียวกับการยิงแอด แต่ปรับแต่งรายละเอียดได้น้อยกว่า จึงมีประสิทธิภาพน้อยกว่าด้วย
ความแตกต่างของการลงโฆษณา Facebook แบบ Boost Post กับ Ads
Boost Post คือ สามารถกดโปรโมทได้จากโพสต์นั้นบนหน้าเพจเลย ขั้นตอนเพียงแค่กำหนด Objective จำนวนเงิน ระยะเวลา แล้วกด Boost Post ได้เลย โดยโพสต์ที่ซื้อโฆษณาจะขึ้นไปแสดงผลใน News feed ของกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้
Facebook Ads คือ การซื้อโฆษณา Facebook ที่เลือก Objective ได้หลากหลาย สามารถกำหนดรูปภาพที่ใช้งาน มีปุ่ม Call To Action เช่น ปุ่ม Sign up, ปุ่ม Message เป็นต้น โดยเราสามารถเลือกได้ตามความต้องการเลย เหมาะสำหรับเพจที่เริ่มต้นทำธุรกิจ ยังไม่มีฐานลูกค้า
โฆษณาแบบ “บูทโพส” หรือ “Post Boosting” เหมาะกับการใช้โปรโมตอะไรบ้าง?
โฆษณาแบบนี้ Facebook จะยิงไปหาคนที่ Facebook รู้ว่าจะชอบกด “ไลค์” เพราะฉะนั้นมันจะดีกับโฆษณาที่ต้องการให้คนเห็นเยอะๆ และมีคนไลค์ คอมเมนต์ แชร์เยอะๆ ไม่เหมาะกับการขายของ
สำหรับการใช้บูทโพสนี้จะไม่เหมาะกับการโปรโมทหลายๆอย่าง จะเหมาะจริงๆก็แค่ที่เรา List ไว้อย่างล่างนี้
- บทความ
- Infographics
- ข่าวทั้งหลาย
โฆษณาแบบไม่ใช้การ boost
ไม่เหมาะกับการขายของ เพราะเราเคยลองทำดู Conversion rate ต่ำสุดๆไปเลยหล่ะ
คุณสามารถเลือกวัตถุประสงค์ในการโฆษณาได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น Lead Generation, App Install, Web Traffic, Video Views และอีกหลายๆอย่าง ถ้าใช้ตัวนี้ส่วนใหญ่จะได้ราคาที่ถูกกว่าการบูทโพส เพราะว่า Facebook จะช่วย Optimize โฆษณาของคุณว่าควรจะให้ใครเห็นดี (ไม่ได้เจาะจงแต่คนที่จะกดไลค์)
บริหารเพจธุรกิจให้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย FACEBOOK BUSINESS MANAGER
Facebook Business Manager ตัวช่วยอีกขั้นสำหรับคนทำธุรกิจ โดยรวบรวมทุกเพจที่คุณจัดการไว้ในที่เดียว เพียงคลิกที่ลิงก์ business.facebook.com และ Log in ผ่าน Facebook คุณก็จะสามารถดูแลทุกอย่าง ทั้งจัดการเพจ กำหนดบทบาทแอดมินเพจ และจัดการบัญชีโฆษณาได้แบบครบวงจร
เพียงคลิกที่ All Tools คุณก็จะสามารถจัดการภาพรวมของธุรกิจบน Facebook ได้แบบครบครัน
ข้อแนะนำสำหรับการสร้างโฆษณาเฟสบุ๊คให้ได้ผลดีที่สุด
ต้องใช้ Facebook Pixel
เพราะว่าโฆษณาใน Facebook ส่วนมากคุณจะเจอคนที่ไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่แท้จริงของคุณ คุณต้องให้ Facebook Pixel ช่วยเก็บข้อมูลว่าใครที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่แท้จริงของคุณได้
ต้องใช้ Facebook Remarketing
การทำ Remarketing เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณทำกำไรเยอะๆได้จากโฆษณา Facebook เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะทำ Remarketing ยังไง คุณต้องเรียนรู้ครับนะ
ประโยชน์ของ FACEBOOK BUSINESS MANAGER
1. จัดการทุกโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะในกรณีที่คุณจำเป็นต้องใช้หลายเพจย่อยๆ ในการสร้างโฆษณา การใช้ Facebook Business Manager จะทำให้คุณบริหารจัดการทุกเพจได้ภายในหน้าเดียว และมองเห็นค่าใช้จ่ายโดยรวม ตลอดจนคาดการณ์แนวโน้มของธุรกิจได้
2. จำกัดการเข้าถึงเพจเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องได้
ใน Facebook Business Manager คุณสามารถจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเพจได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องมีบุคคลที่ 3 เข้ามาร่วมจัดการเพจด้วย เช่น Digital Agency, พาร์ทเนอร์ หรือพนักงานชั่วคราว
3. ประหยัดเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่าย
Facebook Business Manager คือ บริการฟรีที่ทาง Meta คิดค้นขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ใช้งานในลักษณะองค์กร การจัดการธุรกิจออนไลน์ผ่านช่องทางนี้จะช่วยประหยัดเวลา ลดความสับสน และนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายได้ในอนาคต
ข้อดีของ Facebook Ads คือ ทำให้ธุรกิจทุกรูปแบบและทุกขนาด สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงเป้าหมายอย่างที่ต้องการถึงแม้วิธีการยิงแอด Facebook จะฟังดูเป็นเรื่องซับซ้อนในครั้งแรก แต่หากคุณต้องการเดินต่อไปบนถนนสายธุรกิจออนไลน์ การศึกษาโฆษณาบนแพลตฟอร์มนี้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ดี การสร้างโฆษณาผ่าน Facebook Ads Manager มักจะอัปเดตตลอดเวลา คุณจึงควรหาความรู้จากแหล่งต่างๆอยู่เสมอ และที่สำคัญ อย่าลืมปรับปรุงเทคนิคการยิงโฆษณาให้ทันสถานการณ์ เพื่อบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ข้อดีของการยิงแอดเฟสบุ๊ค
1. เพิ่ม Brand Awareness
Facebook ถือว่าเป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก แต่การโพสต์คอนเทนต์ลงบนหน้าเพจก็อาจทำให้คนกลุ่มเล็กๆ เห็นโพสต์ของเราได้เท่านั้น ซึ่งการ ยิงแอดเฟสบุ๊ค ก็จะช่วยทำให้โพสต์ของเราเข้าถึงผู้คนในวงกว้างได้ง่ายและรวดเร็วกว่าการโพสต์คอนเทนต์ลงบนเพจเฉยๆ
2. ขยายฐานเป้าหมายเดิม
จริงๆกลุ่มเป้าหมายของเราอาจมีมากกว่าที่เราคิด การยิงแอดเฟสบุ๊คสามารถเข้ามาช่วยให้เราทำการ Test โฆษณาไปยังกลุ่มคนต่างๆ เพื่อขยายฐานเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีกได้
3. เพิ่มโอกาสให้ปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้น
เมื่อโพสต์ของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ถ้าหากพวกเขาสนใจสินค้าหรือบริการของเรา ก็ทำให้เรามีโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้นนั่นเอง
4. สามารถใช้งานได้ในธุรกิจทุกขนาด
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ ก็สามารถใช้การ ยิงแอดเฟสบุ๊ค ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย รวมถึงบรรลุวัตถุประสงค์ที่เราต้องการได้ง่ายกว่าเดิม
5. สามารถวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลได้
เราสามารถดูผลลัพธ์แล้วนำมาทำการวัดผลและวิเคราะห์ของการยิงแอดด้วย Metric ที่หลากหลายได้ ไม่ว่าจะเป็น Reach, Impression, Cost per Results รวมถึง Metric อื่นๆ ตามที่เราต้องการ ซึ่งถ้าหากว่าผลลัพธ์ไหนที่ไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการ เราก็สามารถปรับแต่งโฆษณาใหม่ได้ทันเวลา
เคล็ดลับ ยิงแอดเฟสบุ๊ค ให้ประสบความสำเร็จ
1. เลือกยิงแอดเฟสบุ๊คให้ถูกวัตถุประสงค์
ในการ ยิงแอดเฟสบุ๊ค แน่นอนว่าแต่ละธุรกิจต่างก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Brand Awareness, Consideration หรือ Conversion ก็ตาม และเพื่อสร้างผลลัพธ์ได้ตรงตามความต้องการ เราก็ต้องเลือกวัตถุประสงค์ให้ถูกต้องด้วย เพราะถ้าเราเลือกวัตถุประสงค์ในการยิงแอดเฟสบุ๊คผิด ค่าแอดก็จะแพงขึ้นด้วย
2. มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มลูกค้าตรงกับที่เราต้องการ
ก่อนที่เราจะทำการยิงแอดเฟสบุ๊ค เราควรที่จะต้องมีการทำการบ้านให้ดีก่อนว่าสินค้าและบริการของเราเหมาะกับลูกค้ากลุ่มใดมากที่สุด ลูกค้าต้องการอะไร มีความสนใจอะไรบ้าง เพื่อที่ว่าเราจะได้ทำให้กลุ่มเป้าหมายแคบลง
ซึ่งถ้าหากเรายิงโฆษณาไปหากลุ่มลูกค้าแบบกว้าง ๆ คนที่เห็นโฆษณาอาจจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของเรา ก็อาจทำให้เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ และไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการกลับมา (ถ้าต้องการทำ Lookalike Audience ควรที่จะมีกลุ่มเป้าหมาย 1,000 คนขึ้นไป เพื่อให้ได้ข้อมูลมากพอสำหรับการทำ Lookalike)
3. เลือกใช้ Media สำหรับการยิงแอดให้ดี
หลังจากที่เรามีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายแล้ว สิ่งต่อมาที่เราต้องทำคือ ทำรูปภาพหรือแคปชันโฆษณา (Media) ให้โดนใจพวกเขามากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากเราสามารถทำในสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายอยากเห็น หรือดึงดูดใจพวกเขาได้ ก็จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เราต้องการกลับมาให้มีประสิทธิภาพได้นั่นเอง
4. ติดตามและวัดผลของโฆษณาอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากที่ ยิงแอดเฟสบุ๊ค ออกไป เราก็ควรที่จะคอยติดตามและวัดผลอยู่เสมอ เพราะถ้าหากเราพบว่าโฆษณาที่ยิงไปมี Performance ที่ดีมากๆ เราก็จะได้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายแบบนี้ ชอบการโฆษณาแบบนี้
หรือในทางกลับกัน ถ้าหากโฆษณาตัวนั้นมี Performance ที่ไม่ดี เราจะได้หยุดโฆษณาตัวนั้นได้ทัน แล้วมาดูว่ามีตรงไหนบ้างที่ควรปรับปรุง เช่น คำในรูปภาพอาจจะไม่ดึงดูดลูกค้ามากพอ, รูปอาจจะยังสื่ออารมณ์ได้ไม่ดี ไปจนถึงการเลือกวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายของการโฆษณาที่อาจจะยังไม่ใช่ที่สุด
5. การจ้างเอเจนซี่หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านยิงแอดเฟสบุ๊ค
สำหรับธุรกิจไหนหรือมือใหม่คนใดก็ตามที่อาจจะยังไม่เชี่ยวชาญด้าน ยิงแอดเฟสบุ๊ค แต่อยากได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และไม่อยากทดลองยิงโฆษณาด้วยตัวเอง การจ้างเอเจนซี่หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงแอดเฟสบุ๊คโดยเฉพาะก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
เพราะถ้าหากเป็นมือใหม่ที่ยังขาดทักษะในการยิงแอดอย่างถูกต้อง ในช่วงแรกอาจจะเป็นเรื่องยากและมักสร้างปัญหาให้บ่อยครั้ง เช่น ไม่รู้ว่าจะเลือกงบประมาณอย่างไร หรือต้องใช้ภาพและแคปชันแบบไหนถึงจะดี รวมถึงปัญหาอื่นๆ อีกด้วย
ซึ่งคุณก็ต้องติดตาม ดูแล และวัดผลด้วยตัวเอง แต่ถ้าจ้างเอเจนซี่ คุณก็จะได้มืออาชีพเข้ามาช่วยงานให้สำเร็จตามเป้าหมายได้เลย เพราะพวกเขามีประสบการณ์ในการยิงแอดเป็นอย่างดี คุณจะได้มีเวลาไปพัฒนาธุรกิจในด้านอื่นๆ อีกด้วย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีลงโฆษณา Facebook
1. โฆษณา Facebook ราคาเท่าไหร่?
ขึ้นอยู่กับว่าคุณโฆษณาอะไรและโฆษณาของคุณตั้งมาดีแค่ไหน ส่วนใหญ่ถ้า CTR ได้เยอะ โฆษณาก็จะถูกไปด้วย มีราคาตั้งแต่ ฿0.10 ไปจนถึง ฿20 ต่อคลิกหรือไลค์
2. กลุ่มเป้าหมายกว้างแค่ไหนถึงจะดี?
ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคุณนะแต่เราแนะนำว่าอย่างน้อยๆต้องได้อย่างน้อย 150,000 คน เพราะว่าถ้ากลุ่มเป้าหมายยิ่งเล็กเท่าไหร่ ราคาโฆษณาก็จะแพงไปด้วยนะ
สรุป
บทความนี้ได้อธิบายครบเรื่องสอนลงโฆษณา Facebook แบบ Step by Step ให้คนเริ่มต้นทำ Facebook Ads สามารถลงมือทำตามได้ง่ายๆ ใครไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยิง Facebook Ads ลองเปิด Account ของคุณขึ้นมาแล้วทำตามไปพร้อมๆ กันได้
วิธียิงแอด Facebook Ads น่าจะเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ นักการตลาด ตลอดจนพ่อค้าแม่ขายในโลกออนไลน์อยากรู้และอยากที่จะเริ่มต้นศึกษา เพราะ Facebook Ads เปรียบเสมือนประตูที่ทำให้คนเข้าหาสินค้าและบริการได้มาก มีโอกาสพบเจอ ผ่านตา ไปจนถึงขั้นซื้อสินค้าได้
แต่สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยลองทำอาจจะรู้สึกไม่กล้าที่จะเริ่มต้นลงเงินในการซื้อโฆษณา และอาจเกิดความไม่มั่นใจว่า แอดที่กำลังทำอยู่ คุณทำการตั้งค่าต่างๆ ถูกต้องหรือไม่? และมีอะไรที่ต้องคำนึงถึงก่อนการยิงแอดบ้าง?
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้ไปลองทำโฆษณา Facebook ได้แบบไม่ต้องเสียเงินเยอะ อย่างที่เราบอกไปว่าการลงโฆษณาfacebook ไม่จำเป็นว่าต้องแพงเสมอไป แพงแล้วก็ไม่ได้แปลว่าจะดีเสมอไปด้วย
ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการที่คุณจัดสรรงบประมาณ และการบ้านที่คุณทำมาก่อนที่จะเริ่มทำโฆษณาเฟสบุ๊ค