CTR ย่อมาจาก Click Through Rate มีวิธีการง่ายๆในการเพิ่มค่าCTRยังไง

Click Through Rate(อัตราการคลิกผ่าน) คืออะไร? สำคัญต่อ SEO ยังไง? CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่? มีวิธีการหาค่ายังไง และหาจากเครื่องมือไหนที่ถูกต้องที่สุดของเว็บไซต์เรา อธิบายการเพิ่มค่าCTR ให้กับบทความของท่านผู้ที่ทำ Google Ads Facebook Ads ก็อ่านได้ เรามีแจกแจงให้ท่าน รวมถึงให้ข้อมูลความแตกต่างระหว่าง Click Through Rate และ Conversion Rate ครบที่สุดที่นี่ ที่เดียว

Click Through Rate(อัตราการคลิกผ่าน) เป็น Metrics ค่าชี้วัดที่สำคัญต่อการทำงานโดยเฉพาะใครที่ทำการตลาดดิจิทัล เช่น นักทำSEO รวมถึง นักยิงแอด Facebook ยิงแอด Line หรือการยิงแอด Social Media ตัวอื่น ๆ เพราะ CTR คืออัตราการคลิกต่อการเห็นโฆษณา โดยข้อมูลจะแสดงในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ ถ้าค่า CTR สูงหมายความว่าการยิงแอดของคุณได้รับผลตอบรับที่ดี

แต่สำหรับนักการตลาดมือใหม่ Click-Through Rate น่าจะเป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ที่คุณยังสงสัยในการทำงานอยู่ว่าจริงๆแล้วมีความหมายอย่างไรและมีการคำนวณอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับการยิงแอดและทำการตลาดออนไลน์

CTR คืออะไร?

CTR หรือ Click Through Rate คือ ค่าสัดส่วนของจำนวนผู้คนที่เห็นโฆษณาและคลิกเข้ามาหาเรา เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการดูอัตราการคลิกโฆษณา หรือ เว็บไซต์ ต่อจำนวนการเห็นของผู้ใช้งานทั่วไปในอินเทอร์เน็ต ช่วยทำให้เรารู้ว่าโฆษณาและคอนเทนต์ที่เราได้ทำการยิงแอดไปนั้น มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์เป็นอย่างไร ทำได้ดีแค่ไหน

หมายเหตุ : Organic CTR คือ ค่า Click Through Rate ที่มาจากการทำ SEO โดยเฉพาะ ไม่รวม Paid media อื่นๆ เช่น Google Ads , Facebook Ads ,TikTok Ads , Youtube Ads และ Social media ads อื่นๆ

สูตรคำนวณ CTR

ในการเช็กผลลัพธ์ค่า CTR นั้นจะมีสูตรการคำนวณที่เป็นสูตรสากลในการคำนวณผลลัพธ์ของการทำSEO รวมทั้งคนทำแคมเปญการยิงแอดหรือการทำการตลาดออนไลน์

สูตรของ CTR หรือ Click Through Rate คือ (Click/Impression)*100

นั่นหมายความว่ายิ่งเปอร์เซ็นต์ CTR สูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจของคุณ เพราะว่าเมื่อมีคนคลิกเข้าเว็บไซต์จำนวนมาก

แน่นอนว่าเมื่อมีจำนวนคนคลิกเข้าเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น หรือ Click-Through Rate(อัตราการคลิกผ่าน) เพิ่มขึ้นนั้นก็ช่วยให้ธุรกิจของคุณได้ยอดขายเพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะ ถ้า CTR เพิ่ม = Traffic เพิ่มและถ้า Traffic เพิ่ม = ธุรกิจได้ยอดขายเพิ่มจากจำนวนคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ที่มากขึ้นนั่นเอง

CTR ควรอยู่ที่เท่าไร ?

Click-Through Rate(อัตราการคลิกผ่าน) เท่าไหร่ถึงจะดี สำหรับ Organic Traffic “ยิ่งเยอะมากเท่าไรยิ่งดี” ขั้นต่ำอยู่ที่ 6.5% แต่เป้าหมายที่คุณควรตั้งไว้คือ 8% ขึ้นไป หากทำได้จนถึง 10 % จะยอดเยี่ยมมาก และหากทำได้ 20% ขึ้นไป Organic Traffic จะมากขึ้นอีกหลายเท่าตามลำดับ (สนใจกด >> รับทำ SEO)

ค่าเฉลี่ย CTR โดยมาตรฐานของแต่ละแพลตฟอร์ม

ค่ามาตรฐาน CTR คือสิ่งหนึ่งที่ช่วยชี้วัดความสำเร็จของแคมแปญโฆษณา โดยในแต่ละแพลตฟอร์มจะมีค่าเฉลี่ย Click Through Rate ที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าไม่มีค่าเฉลี่ยตายตัว แต่มาตรฐานแล้วค่าเฉลี่ย Click Through Rate ของ Google Ads จะอยู่ที่ประมาณ 2-3% แต่บางครั้งอาจพุ่งทะยานไปถึง 20-30% เลยก็มี ขึ้นอยู่กับอันดับโฆษณาบน Google

มาถึงค่าเฉลี่ย CTR Facebook เท่าไหร่ถึงจะดี ซึ่งค่าเฉลี่ยที่ได้รับนั้น ไม่ได้ถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ โดยมีค่า Facebook CTR มาตรฐานอยู่ที่ 0.51% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้จากการเก็บข้อมูลแคมเปญโฆษณา 11,000 แคมเปญ เพื่อนำมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย CTR มาตรฐาน จึงออกมาเป็นตัวเลขดังกล่าว

โดยอัตราค่าเฉลี่ยของ Facebook จะค่อนข้างน้อยกว่า Google เนื่องจากหลายเหตุปัจจัยด้วยกัน ทั้งรูปแบบโฆษณาและการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายมากกว่า จึงทำให้ค่าเฉลี่ย Click-Through Rate ของ Facebook นั้นน้อยกว่า Google

แต่อย่างไรก็ตามมีข้อดีในเรื่องประเมินผลการคัดเลือกแต่ละกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าตัวจริงของสินค้าและบริการที่เราทำโฆษณาออกไปนั่นเอง เพื่อการทดลองA/B test ลองผิดลองถูกกันต่อไป เพื่อเพิ่มค่าอัตราการคลิกผ่าน

CTR (Click Through Rate)สำคัญอย่างไร

1. วัดความน่าสนใจในโฆษณาแต่ละชิ้น

อัตราการคลิกผ่าน(Click Through Rate) มีความสำคัญต่อการทำการตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมากเพราะถือว่าเป็นค่าที่จะทำให้เรารู้ว่าโฆษณา บทความ หรือการทำ SEO ที่เราได้ทำลงไปนั้นมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร

2. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย

การทำโฆษณาแต่ละตัวจะต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายขึ้นมา โดยถ้าหากโฆษณาชิ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ค่า CTR จะแสดงผลลัพธ์ในทิศทางที่ดี ในทางกลับกันถ้าหากโฆษณาไม่สัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาก็จะไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้นักการตลาดจำเป็นต้องเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายใหม่ หรือปรับเนื้อหาโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

กลุ่ม Target Audience ของเราให้ความสนใจหรือไม่ มีคนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเรามากแค่ไหน ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวมานั้นสามารถช่วยให้คุณนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาการยิงแอดโฆษณา, การทำ Social Media Marketing และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของคุณได้ในโปรเจกถัดไปได้ (สนใจกด >> รับสอน SEO)

3. สำคัญต่อการเช็ก Quality Score

อัตราการคลิกผ่าน(Click Through Rate) ยังมีความสำคัญต่อการเช็ก Quality Score หรือคะแนนคุณภาพที่เป็นอีกหนึ่ง Metrics ใน Google Ads ที่ช่วยบอกว่า Keyword ที่เราใช้ในการทำ SEO หรือ SEM นั้นมีคุณภาพมากแค่ไหนและตรงกับสิ่งที่คนต้องการค้นหาหรือเปล่าโดยสัมพันธ์กับ CTR ตรงที่

อัตราการคลิกผ่าน (Click Through Rate) สูงก็จะทำให้ Quality Score สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ หาก Quality Score ของคุณสูงก็จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงหรือรักษาอันดับที่ดีในหน้าการแสดงผลของGoogle หรือ รักษาตำแหน่งโฆษณาที่ดีด้วยต้นทุนที่ต่ำลง (เพราะ Quality Score สูงหมายถึงอันดับโฆษณาสูงขึ้น เว็บไซต์จะปรากฏบ่อยขึ้น และค่าคลิกถูกลง)

นอกจากนี้ หากคุณกำลังโฆษณาบน Search Engine หรือ SEM อยู่ การได้ค่า CTR ที่สูงหมายความว่าคุณกำลังดึงดูดผู้คนให้มายังโฆษณาและกดเข้าเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

ทำไม Organic CTR จึงเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญ

สาเหตุที่ทำให้ Organic CTR เป็นเมตริกที่สำคัญ จะมีอยู่ 2 เหตุผลด้วยกัน คือ

  • 1. การมี Organic CTR ที่สูงจะทำให้มี Traffic เข้าเว็บไซต์มากขึ้น

ยิ่งถ้าคุณทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ได้ดีจะมีส่วนช่วยเรียกยอด Traffic เข้ามายังเว็บไซต์เพิ่มขึ้นได้

เนื่องจากการติดอันดับบน Google ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้คนเจอเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น และถ้าคุณปรับปรุง On-Page SEO ได้ดี คนที่มองเห็นเว็บไซต์ของคุณก็จะมีโอกาสคลิกเข้ามาดูเนื้อหาเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

  • 2. Organic CTR เป็นเมตริกที่ระบุถึงความน่าสนใจของเนื้อหาที่คุณทำ

Organic CTR เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำ SEO เพราะมันสามารถบ่งบอกถึงความน่าสนใจของเนื้อหาที่ปรากฏบนหน้า SERP โดยถ้า Organic CTR สูง แสดงว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์มีความน่าสนใจและเหมาะสมกับคำค้นหาของผู้ใช้ เนื่องจากสามารถจับ Search Intent ของผู้ใช้งานได้แบบอยู่หมัด และแน่นอนว่าจะสามารถเพิ่มโอกาสในการทำการขายได้จากสาเหตุนี้ด้วย

ค่า Organic CTR แบบไหนถึงดีต่อการทำ Organic Search สำหรับ SEO

ถ้าจะวัดว่า ควรได้ Organic CTR เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าดี ต้องบอกว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการอุตสาหกรรมที่คุณกำลังทำอยู่ด้วยว่า ใช้ Keyword แบบใด มี Search Intent แบบไหน แต่โดยเฉลี่ยแล้วเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะทำ Organic CTR เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-5% (อ้างอิงข้อมูลจาก Databox) แต่ถ้าคุณทำอันดับได้สูงจนติดอันดับท็อป 3 ยังไง Organic CTR ของคุณก็มีโอกาสที่จะมี % เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

CTR ส่งผลเสียต่อธุรกิจในกรณีใด

หากพูดถึงค่า CTR ในการทำ Google Ads นั้น คุณต้องจำไว้เลยว่าหาก Keyword ที่คุณเลือกนำมาใช้หรือเนื้อหาคอนเทนต์ในเว็บไซต์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ หรือไม่ได้เป็น Keyword ที่นำไปสู่การสร้างยอดขาย สร้างโอกาสในการขาย (Conversion)

ต่อให้ได้ อัตราการคลิกผ่าน (Click Through Rate) ที่สูงก็จะไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลยต่อธุรกิจ ทั้งที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้นก่อนที่จะโฟกัสที่ตัวเลขของค่า CTR คุณต้องโฟกัสกับการทำโฆษณา, การออกแบบเนื้อหาในแอด หรือการตกแต่งเว็บไซต์ให้น่าดึงดูดและใช้งานง่ายเสียก่อน เพราะถ้าลูกค้าเกิดประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของคุณหลังจากที่กดเข้ามา ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าต่อไป

วิธีตรวจสอบค่า CTR ของแต่ละหน้าเว็บไซต์ของเรา ทำยังไง?

สามารถตรวจสอบ CTR ได้ใน Google Search Console ซึ่งเป็นวิธีทั่วไป และง่ายที่สุด ในการพิจารณาประสิทธิภาพของหน้าเว็บของคุณ

ค่า Click Through Rate ที่คุณเห็นในหน้า “ผลการปฏิบัติงาน” ของ Google Search Console มีให้เลือก 3 ประเภทการแสดงผล คือ

  1. ประเภทการค้นหา : เว็บ/รูปภาพ/วีดีโอ/ข่าว โดยให้มีการเปรียบเทียบเป็นคู่ๆ
  2. วันที่แสดงผล : วันที่ล่าสุด/7วันล่าสุด/28วันล่าสุด/3-6-12-16เดือนล่าสุด/กำหนดเอง โดยมีให้เลือกการเปรียบเทียบเพิ่มเติม
  3. ปุ่ม (+ใหม่)
  • ข้อความค้นหา
  • เลือกเฉพาะหน้า
  • ประเทศที่ค้นหา
  • อุปกรณ์ที่ใช้ค้นหา

หากต้องการดูว่า CTR เฉลี่ยของหน้าเว็บแต่ละหน้าใน Search Console เป็นเท่าใด ให้ทำดังนี้ :

  1. เลือกประเภทของการค้นหา
  2. เลือกวันที่ต้องการให้แสดงผล
  3. กดปุ่ม +ใหม่ แล้วเลือก ข้อความค้นหา หรือ ข้อความค้นหา
  4. จากนั้นกดเมตริก CTR เฉลี่ย อาจจะดูเปรียบเทียบไปกับเมตริกอื่นๆก็ได้ เช่น การคลิกทั้งหมด/จำนวนการแสดงผล/อันดับเฉลี่ย

ตัวอย่างการวิเคราะห์ค่า CTR สำหรับโฆษณา

มาถึงในส่วนนี้เราจะขอพาทุกคนมาทำความเข้าใจกับการวิเคราะห์ค่า Click Through Rate สำหรับโฆษณาในแต่ละแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้เข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของ Click Through Rate ที่สัมพันธ์กับ Ad Rank หรือคะแนน ที่จะนำมาจัดลำดับว่าโฆษณาของเราอยู่ในลำดับที่เท่าไรของ Ranking

1. ค่า CTR ในการโฆษณา Facebook Ads

CTR Facebook นั้นจะเป็นส่วนที่ให้เราได้เห็นผลลัพธ์ของค่า Click Through Rate สำหรับการทำโฆษณา Facebook เพื่อดูว่าโฆษณาแต่ละตัวของเรามีอัตราการคลิกดูเท่าไหร่ มีความน่าสนใจ และตรงตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน

สำหรับค่า CTR ในการโฆษณา Facebook Ads นั้นให้คุณเข้าไปเช็กดูที่หลังบ้าน Facebook Business Manager แล้วดูค่าเฉลี่ย CTR เปรียบเทียบกับแอดทุกตัวที่กำลังรันอยู่ ถ้าตัวไหนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ให้มองว่าแอดตัวนั้นแหละที่เป็นตัวที่ไม่ดีและต้องรีบปรับปรุง

ต่อมาเมื่อคุณเห็นแล้วว่าตัวไหน CTR ไม่ดี ก็จะต้องมาทำการ Optimize CTR ให้ดีขึ้นซึ่งวิธีที่เราแนะนำก็คือ หันมาย้อนดูแอดที่เราโฆษณาอยู่ว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน อะไรบ้างทั้งในเรื่องของ Artwork และ Captions แล้วค่อยมาวิเคราะห์ปรับทีละจุด โดยตัวอย่างการปรับโฆษณาเมื่อรู้ว่า CTR Facebook โดยเราจะขอแนะนำดังนี้

  • การปรับ Copywriting – สำหรับการปรับการเขียน Copywriting ให้น่าดึงดูดนั้นจะมีเทคนิคการเขียนแคปชันขายของหลากหลายวิธีมาก ซึ่งคุณอาจจะลองเทคนิคต่าง ๆ เช่น การเล่นกับกระแสไวรัล หรือ การยกข้อดีมาพูดตั้งแต่พารากราฟแรก ฯลฯ ก็อาจทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจในตัวโฆษณาของคุณมากขึ้นและจะช่วยเพิ่ม CTR Facebook ได้
  • การปรับรูปภาพ – แนะนำให้มองในมุมลูกค้าว่าถ้าพวกเขาซื้อสินค้าของคุณไป พวกเขาจะได้อะไร ควรจะต้องสื่อข้อความนั้นออกมาอย่างเด่นชัดและครบถ้วน
  • การปรับ Call To Action (CTA) – การเขียนคำที่จะส่งไปยัง Conversion อาจจะต้องดึงดูดมากกว่านี้และกระชับเข้าใจง่าย

2. ค่า CTR ในการโฆษณา Google Ads

การวิเคราะห์ค่า Click Through Rate ในการโฆษณา Google Ads นั้นอันดับแรกคุณต้องทำความเข้าใจเรื่อง Google Ads ก่อนคือผู้คนส่วนใหญ่มา Search Google เพราะต้องการหาคำตอบในการแก้ปัญหาอะไรบางอย่างให้กับตัวเอง ดังนั้นวิธีการวิเคราะห์และช่วยเพิ่ม CTR สำหรับ Google Ads คือการคิดคำโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่นั้นค้นหาข้อมูลอยู่ (สนใจกด >> รับทำ Google Ads)

จากสถิติสามารถยืนยันได้เลยว่าตำแหน่งของเว็บไซต์ที่ทำ Google Ads อยู่ในอันดับ 1 จะได้ค่า CTR สูงสุดกว่า 2 เท่าของเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 2 และอันดับต่ำกว่านั้นค่า Click Through Rate ก็ยิ่งลดลงอย่างมาก

ดังนั้นถ้าคุณอยากที่จะไต่อันดับการทำ Google Ads ของเว็บไซต์ให้ไปอยู่ในอันดับ 1 ก็จะวนไปที่เรื่องของการจัดอันดับ (Ad Rank) ของ Google Ads ซึ่งส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ

  1. CPC Bid (ราคาต่อคลิก)
  2. Quality Score (คะแนนคุณภาพของ Ads ที่เราโฆษณาอยู่)

เมื่อเห็นแบบนี้แล้วก็คงไม่แปลกว่าถ้าต้องการไต่อันดับคุณก็ต้องทำให้เว็บไซต์ได้ค่า CTR ที่สูงขึ้นเสียก่อน โดยวิธีในการทำให้ได้ค่า Click Through Rate สูงขึ้นนั้นเราแนะนำว่าให้ใส่ Keyword ใน Text Ads และปรับแต่งข้อความ Text Ads ให้น่าสนใจมากขึ้นก็จะช่วยในส่วนนี้ได้ (หลักการคล้ายกับการปรับแต่ง Ads ของ CTR Facebook ในข้อ 1)

3. ค่า CTR ในการโฆษณา Email Marketing

ในการทำการโฆษณา Email Marketing ให้ประสบความสำเร็จนั้นค่า Click Through Rate เป็นค่าที่มีความสำคัญที่สุดจากการสำรวจของ SuperOffice CRM เพราะการโฆษณา Email Marketing ที่ดีนั้นต้องเริ่มจากการที่มีคนเปิดหรือคลิกดูอีเมลของเราก่อน โดยการคิดค่า CTR สำหรับ Email Marketing จะอิงตามจำนวนของอีเมลที่เราได้ส่งออกไป

โดยมีสูตรคือ Email CTR = (Click/Delivered Email) x 100

หรือ สูตรอัตราการคลิกผ่าน = (จำนวนการเปิด/อีเมลที่ถูกส่ง) x 100

ซึ่งถ้าคุณลองคำนวณค่า CTR Email Marketing แล้วพบว่ามีอัตราที่ต่ำไปหรืออยากปรับปรุงให้ดีขึ้น เราแนะนำว่าให้ลองปรับเปลี่ยนการตั้งชื่อ Title ของอีเมลรวมถึงคำอธิบาย (Description) ของอีเมลฉบับนั้นๆด้วย

เพราะถือเป็นจุดแรกที่จะทำให้ผู้รับเห็นความน่าสนใจของเนื้อหาอีเมลของคุณและกดเข้าไปอ่าน จากนั้นก็ต้องออกแบบคอนเทนต์ภายในอีเมลให้น่าดึงดูด อธิบายสั้นกระชับ พร้อมมี CTA ให้ผู้ที่ได้รับอีเมลกดเข้าไปยังปลายทางที่ต้องการได้อย่างชัดเจน ก็จะช่วยเพิ่ม CTR ให้กับการทำ Email Marketing ของคุณได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท

4. ค่า CTR สำหรับ SEO (Organic CTR)

คุณรู้หรือไม่ว่าอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้การทำอันดับ SEO ของเว็บไซต์ขยับขึ้นได้ก็คือเรื่องของค่า Click Through Rate นี่แหละ โดยค่า CTR ของการทำ SEO เราสามารถดูได้จากเครื่องมืออย่าง Google Search Console ซึ่งทำให้คุณสามารถวิเคราะห์ Keyword และ เว็บไซต์ได้ว่ามีจำนวนการถูกเห็นเท่าไหร่ มีจำนวนการค้นหามากแค่ไหน และอัตราการคลิกเยอะหรือน้อยเพียงใด

สำหรับการทำ SEO คอนเทนต์ประเภทบทความยิ่งมีค่า CTR ที่สูงก็หมายความว่าเราสามารถเลือกหัวข้อออกมาได้อย่างน่าสนใจจนทำให้ผู้ใช้ Google ในการค้นหาตาม Keyword นั้นๆ เห็นหัวข้อแล้วอยากจะกดคลิกเข้ามาอ่าน

แต่ถ้าหากคอนเทนต์ไหนที่มีค่า CTR ต่ำก็แปลว่าบทความนั้นอาจจะเขียนหัวข้อ (Title Tags) หรือ Meta Description ออกมาได้ยังไม่น่าสนใจมากพอ

โดยจากสถิติจะเห็นได้เลยว่าเว็บไซต์ที่อยู่อันดับที่ 1 จะมีค่า Click Through Rate สูงที่สุดและสูงมากกว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 2 กว่า 1 เท่าตัว นั่นแสดงว่าถ้าอยู่อันดับที่ 1 จะได้ Traffic เข้าเว็บที่มากกว่าอันดับอื่นๆ

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้ Traffic เยอะโอกาสที่จะได้ Leads, Conversion, หรือการนำข้อมูลไปทำการ Retargeting ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตาม

ดังนั้นสำหรับใครที่เช็กค่า Click Through Rate ของเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO แล้วพบว่ายังมีค่าเฉลี่ย CTR ที่น้อยอยู่ วิธีการแก้ไขปรับปรุงก็คือการปรับเปลี่ยน Title Tags และ Meta Description ให้น่าดึงดูดมากขึ้น ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นเทคนิคที่เราอยากแนะนำมากที่สุดเพราะจะช่วยเพิ่มค่า CTR ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้จริง

วิธีเพิ่มค่า Organic CTR ให้กับเว็บไซต์

สำหรับใครที่รู้สึกว่าทำเว็บไซต์มาแล้ว Organic CTR ยังต่ำ ต้องการเพิ่มยอด Organic CTR ให้มากยิ่งขึ้น เรารวบรวมวิธีที่จะช่วยกระตุ้นให้ยอด Organic CTR มาฝากกัน 10 วิธี ดังนี้ (สนใจกด >> รับดูแลเว็บไซต์ wordpress)

1. ทำ Keyword Research

การทำ Keyword Research เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้คุณติดอันดับบน Google และยังช่วยเจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้ด้วย โดยเว็บไซต์ของเราต้องมีบทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับบริการของเรา

เพื่อให้ Google มองว่าเรามีความน่าเชื่อถือในเรื่องนี้ และจัดอันดับเว็บไซต์ของเราขึ้นอันดับต้นๆ ในคีย์เวิร์ดทำเงินตามที่ต้องการ และได้กลุ่มคนที่น่าจะสนใจบริการมาเป็นลูกค้าเราเข้ามายังเว็บไซต์

ถ้าอยากเพิ่ม Organic CTR ก็อย่าลืมทำ Keyword Research โดยดูจาก 3 เรื่องนี้เป็นหลัก ดังนี้

  • เป็นคีย์เวิร์ดที่มีคนใช้งานประมาณหนึ่ง
  • เป็นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ทำ
  • เป็นคีย์เวิร์ดที่สามารถทำการแข่งขันได้

2. เขียน Title Tag ที่น่าสนใจ

ในการเขียน Title Tag ควรใช้คำที่สะดุดตาและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ มี Keyword ที่ใช้ในหน้านั้นๆ รวมถึงมีความยาวที่ไม่โดน Google ตัดตก (ลองใช้เครื่องมือนี้ในการตรวจสอบดู >> https://www.highervisibility.com/seo/tools/serp-snippet-optimizer/old/)

ส่วนเทคนิคการเขียนนั้น เราจะขอมอบเทคนิคเด็ดๆ ที่ใช้บ่อยๆ ให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น

  • ใช้วงเล็บ : HubSpot ทำการศึกษาโดยพบว่าการเขียน Title Tag ที่มีวงเล็บจะมีจำนวนคลิกเพิ่มขึ้นเกือบ 40%
  • ใช้ตัวเลข : เพราะจากการวิจัยของ Conductor ได้ข้อสรุปว่าผู้อ่านกว่า 36% ชอบชื่อบทความที่มีตัวเลขอยู่มากที่สุด
  • ใช้คำที่น่าสนใจ : เช่น ฟรี! สุดยอด หายาก ครั้งแรก ใส่ปี เพื่อระบุความสดใหม่ของเนื้อหา ฯลฯ เพื่อกระตุ้นความสนใจของคนอ่าน

3. เขียน Meta Description ให้ดีต่อ SEO

Meta Description คือ คำอธิบายหน้าเว็บไซต์ที่อยู่ใต้ Title Tag ซึ่งวิธีการเขียนคำอธิบายนี้ให้ดีก็ควรที่จะเขียนไม่ให้ยาวเกินจนโดนตัดตก (ประมาณ 150-170 ตัวอักษร) มี Keyword ที่ใช้อยู่ในหน้าเพจนั้นๆ และควรที่จะเขียนให้น่าสนใจ เช่น เน้นการใช้คำที่ชวนให้รู้สึกว่าไม่ควรพลาด (อย่าช้า ห้ามพลาด), หากรู้แล้วว่าผู้อ่านต้องการอะไร หรือมีปัญหาอะไร ให้เขียนเพื่อบอกว่าหน้าเว็บไซต์นี้จะให้อะไรกับพวกเขา เป็นต้น

4. ใช้ Rich Snippets, Sitelinks และ Featured Snippets ช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกของผู้ใช้

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับฟีเจอร์ทั้ง 3 ตัวนี้จาก Google กันก่อนว่าคืออะไร และทำไมต้องทำให้ติดในฟีเจอร์เหล่านี้ด้วยจึงจะช่วยเพิ่ม Organic CTR โดยเริ่มต้นกันเลยที่

Rich Snippets คือ อันดับ 0 หรือ Zero Position บนหน้าผลลัพธ์การค้นหา เกิดจากการที่ Google คัดเลือกเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลได้ตรงกับสิ่งที่คนทำการค้นหามากที่สุด ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบการ์ดข้อมูล การตอบคำถามหรืออื่นๆ

Sitelinks คือ ฟีเจอร์ของ Google ที่ทำให้ลิงก์ภายในเว็บไซต์ปรากฏขึ้นมาใต้ Title และ Description และสามารถนำพาคนที่คลิกลิงก์เหล่านี้ไปยังหน้าที่ต้องการได้ทันที

Featured Snippets คือ ฟีเจอร์ของ Google ที่จะดึงเอาตัวอย่างข้อมูลหรือพวกประโยคสำคัญๆ มาแสดงผลให้ดูในหลายรูปแบบ เช่น ขั้นตอน บอกนิยาม ตาราง รายการ ฯลฯ ทำให้เว็บไซต์นั้นดูน่าคลิกและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

ซึ่งการที่เราทำหน้าเว็บไซต์ให้ติดบนฟีเจอร์เหล่านี้ที่ทำให้ผลลัพธ์การค้นหาดูพิเศษและน่าสนใจมากขึ้น ย่อมส่งผลให้คนอยากที่จะคลิกเข้ามาดูเนื้อหาตัวเต็มในเว็บไซต์มากขึ้น ทำให้ Organic CTR เพิ่มสูงตามมาด้วยนั่นเอง

5. ใช้ Heading Tags อย่างถูกต้อง เพื่อเพิ่มความชัดเจนของเนื้อหา

Heading Tags คือ สิ่งที่เว็บไซต์ใช้เพื่อกำหนดหัวข้อต่างๆ ของหน้าเพจว่าอะไรคือหัวข้อหลัก หัวข้อรอง เพื่อให้ Google มองเห็นโครงสร้างของหน้านั้นๆ ได้มากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลต่อการทำ SEO ด้วยเช่นเดียวกันถ้าหากเรียงไม่ถูกต้อง

ซึ่งวิธีการเรียง Heading Tags ที่ดี จะเรียงจากหัวข้อใหญ่อย่าง H1 ไปหา H2 H3 H4,… ไปเรื่อยๆ ตามลำดับความสำคัญ ไม่ควรเขียนกระโดดไปมา และ H1 จะมีได้เพียงอันเดียวเท่านั้น

6. ทำหัวข้อและเนื้อหาให้ตรงกับ Search Intent ของผู้คน

ก่อนที่จะทำการเขียนเนื้อหาออกมา ควรทำการศึกษาก่อนว่า Keyword ที่ใช้คนค้นหาเพื่ออะไร เช่น เพื่อหาความรู้, เพื่อหาวิธี, เพื่อซื้อ ฯลฯ เพราะ Keyword นั้นมี Search Intent ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

  1. Keyword ประเภท Naviganional ที่คนค้นหาเพื่อนำทางไปหาอะไรบางอย่าง เช่น คนค้นหาคำว่า Subaru Wedsite แสดงว่า เขาต้องการที่จะไปยังเว็บไซต์ดังกล่าว หากทำเนื้อหาบทความก็ควรที่จะเกี่ยวข้องและนำทางพาไปยังเว็บไซต์ดังกล่าว
  2. Keyword ประเภท Informational ที่คนค้นหาเพื่อรับรู้ข้อมูล เช่น คนค้นหาคำว่า What’s a good car? คอนเทนต์ที่ออกมาก็ควรที่จะให้ข้อมูลและตอบคำถามนี้ที่คนค้นหา
  3. Keyword ประเภท Commercial Investigation ที่คนค้นหาเพื่อการเปรียบเทียบหรือตัดสินใจ เช่น Subaru VS Nissan แสดงว่าคนกำลังเปรียบเทียบรถ 2 แบบนี้ คอนเทนต์ก็ควรออกมาในเชิ่งเปรียบเทียบตามที่คนอยากรู้
  4. Keyword ประเภท Transactional ที่คนค้นหาเพื่อต้องการซื้อขาย เช่น Buy Subaru Forester แสดงว่าคนต้องการที่จะซื้อรถรุ่นนี้ คอนเทนต์ก็ควรที่จะเป็นหน้าซื้อขายสินค้ารถรุ่นนี้

7. เพิ่มภาพและวิดีโอ

การเพิ่มภาพหรือวิดีโอลงไปในหน้าเว็บไซต์ นอกจากจะช่วยทำให้หน้านั้นๆ ดูน่าสนใจและมีเนื้อหาที่ครอบคลุมมากขึ้นแล้ว ยังเป็นที่ถูกอกถูกใจของ Google อีกด้วย เพราะ Google ชอบหน้าเว็บไซต์ที่มี Media หลากหลาย

แต่ทั้งนี้ ก็ควรที่จะรู้จักการ Optimize ให้ภาพและวิดีโอเหล่านี้มีโอกาสทำอันดับบน Google เพิ่มขึ้นด้วย นั่นคือ การใส่ ALT ให้กับภาพเพิ่มเติมนั่นเอง

8. ทำการ Optimize รูปภาพ

หากคุณใช้รูปภาพที่มีขนาดใหญ่ ย่อมส่งผลให้เว็บไซต์โหลดช้า แน่นอนว่ากระทบกับ User Experience เพราะคงไม่มีใครอยากรอใช้งานเว็บไซต์นานๆ ดังนั้น ทางที่ดีควรที่จะเพิ่มความเร็วในการโหลดให้เว็บไซต์ด้วยปรับขนาดภาพให้เหมาะสม เช่น เปลี่ยนสกุลไฟล์ภาพจาก .Jpeg, .png เป็น .webp เป็นต้น

9. ทำ Internal Link ในหน้าเว็บไซต์

การสร้าง Internal Link จะช่วยให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงหน้าอื่นๆ ของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ Google มองเห็นความเชื่อมโยงของหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย ส่วนวิธีการทำ Internal Link ที่ดีจะมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ดังนี้

  • เขียนให้ทุกหน้ามี Internal Link เชื่อมไปยังบทความอื่น
  • เขียนคำเกริ่นที่ชวนให้อยากคลิกลิงก์มากขึ้น เช่น อธิบายว่าลิงก์นี้จะนำพาไปสู่เนื้อหาแบบไหน
  • ทำ Internal Link ให้เด่นชัด เช่น ทำเป็นปุ่มกด หรือทำตัวหนังสือให้มีสี เพื่อที่คนจะได้รู้ว่าสามารถคลิกลิงก์ได้
  • ควรทำลิงก์ที่คลิกไปแบบ Same window หรือเปิดในหน้าต่างเดียวกัน ไม่ต้องกดเป็น New Tab
  • ใช้คำที่เกี่ยวข้องของ Keyword หลัก มาเขียนเป็น Link text
  • อย่าใช้ Internal Link ใน Keyword เดียวกันพาไปหลายๆ หน้า
  • คำที่เป็น Focus Keyword ในหน้านั้นๆ ไม่ควรทำ Internal Link ใส่

10. ปรับแต่ง URL

แนะนำให้ทำ URL Friendly ให้กับเว็บไซต์ ด้วยการทำให้ URL สั้นกระชับและสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน รวมถึงควรมีคำ Keyword ที่ใช้อยู่ใน URL ด้วย

Click Through Rate ต่างจาก Conversion Rate อย่างไร

นักการตลาดออนไลน์หลายคนคงเคยได้ยินและสับสนระหว่าง Click Through Rate กับ Conversion Rate กันอยู่บ้าง ซึ่งทั้งสองคำนี้ต่างกันที่ว่า ค่า CTR สูง ไม่ได้หมายความว่าจะได้ Conversion Rate ที่สูงตามไปด้วย เพราะ Click Through Rate วัดค่าจำนวนคนที่เห็นและคลิกเข้าเว็บไซต์เรา ไม่ได้ชี้วัดการกระทำใดๆที่วางแผนไว้ในเว็บ เช่น ปิดยอดขาย ลงทะเบียน หรืออะไรก็ตามที่เราวางให้เป็น conversion ของแคมเปญนั้นๆ

จึงอาจกล่าวได้ว่าค่าร้อยละของ Conversion Rate ที่สูงนั้นค่อนข้างสำคัญในการวัดผลความสำเร็จของแคมเปญทั้งหมดมากกว่านั่นเอง 

แต่อย่าลืมว่า Click Through Rate ก็เป็นส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะการจะมี CTR ที่ดีนั้น จะส่งผลต่อ อันดับ(Rank) และ Quality Score ให้มีคะแนนสูงขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่านี่คือสะพานด่านแรกที่พาเราไปปิดการขายหรือไปสู่ conversion ที่แท้จริงได้นั่นเอง

 

สรุป

การเพิ่ม CTR หรือ Click Through Rate(อัตราการคลิกผ่าน) สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ หลักคิดง่ายๆเลยคือ

  • ถ้า CTR เพิ่ม = Traffic เพิ่ม
  • ถ้า Traffic เพิ่ม = ยอดขายเพิ่ม

แนวทางการเพิ่ม CTR กันทีละ Platform 3 แพลตฟอร์ม หลักๆคือ

  1. Facebook Ads
  2. Google Ads
  3. SEO

1. วิธีการเพิ่ม CTR สำหรับ Facebook Ads

1.1 CTR (All)

ความหมายง่ายๆคือ อัตราการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างในตัวโฆษณา ไม่ว่าจะเป็น Click Link, See more, View Photo, Comment, Share ฯลฯ

สำหรับ Metric นี้ใช้สำหรับวิเคราะห์ผลตอบลัพธ์ภาพรวมของโฆษณา ว่าแต่ละตัวผลตอบรับเป็นอย่างไร

หลายท่านคงจะมีคำถามว่าแล้ว CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ถึงจะดี ผมแนะนำแบบนี้คือ

ให้ดูค่าเฉลี่ย เปรียบเทียบกับ Ads ทุกตัวที่โฆษณาอยู่ ถ้าตัวไหน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย นั่นแหละครับ คือตัวที่ไม่ดี ต้องปรับปรุง

ต่อมาเมื่อเรารู้แล้วว่าตัวไหนที่ CTR ไม่ดีเราก็ควรจะมาปรับให้มันมี CTR ดี

ซึ่งวิธีคือ เราจำเป็นจะต้องมาดูว่า Ads ที่เราโฆษณาอยู่เนี่ยมันมี Detail อะไรบ้าง แล้วค่อยๆปรับทีละจุด

การปรับ Creative เพื่อเพิ่ม CTR

พอเรามอง Detail ของ Creative ในการโฆษณา Facebook เป็นจุดๆแล้วจะพบว่ามีหลักๆ 3 จุดด้วยกันคือ

  • หัวข้อ – สำหรับการเขียนหัวข้อให้น่าดึงดูดนั้นจะมีเทคนิคการเขียนแคปชั่นขายของหลากหลายวิธีมาก แนะนำให้ศึกษาและปรับใช้จะช่วยเพิ่ม CTR ได้แน่นอน
  • รูปภาพ – ในส่วนนี้เราแนะนำว่าให้มองในมุมลูกค้าคือลูกค้าจะได้อะไร เราก็ควรจะสื่อข้อความนั้นออกมาอย่างเด่นชัด
  • Call To Action (CTA) – แนะนำให้ไปศึกษาต่อมันจะมีหลักการเขียนอีกหลากหลายประเภทเลย อาจจะ Search Google ว่า Call To Action Tips ก็จะมี Idea อีกจำนวนมากให้นำไปใช้

1.2 Outbound CTR (Click-Through Rate)

สำหรับ Metric นี้ความหมายคือ อัตราการคลิกออกนอก Platform Facebook ต่อการเห็นโฆษณา เช่นไป Website, Line ให้ดูที่ Metric นี้

เอาไว้วัดผลสำหรับคนที่โฆษณา Facebook Objective Conversion (ไปเว็บไซด์) หรือไป Line

หลักการของ Outbound CTR

อันดับแรกเราต้องเข้าใจก่อนว่า Outbound CTR เป็นอัตราส่วนจาก Outbound Link Click

สูตรของ Outbound CTR = (Outbound Link Click/Impression)*100

หมายเหตุ : เรียงลำดับความใหญ่ Impression >> Click All >> Outbound Link Click

วิธีเพิ่ม CTR ของ Outbound Click
  • เอา Link มาไว้ด้านบน Caption ลูกค้าจะได้คลิกง่ายๆ
  • เขียนโน้มน้าว ในแคปชั่นให้มาคลิก
  • สร้าง Ad ใหม่โดยการเปลี่ยนรูปภาพ

2. วิธีการเพิ่ม CTR สำหรับ Google Ads

โดยอันดับแรก ต้องทำความเข้าใจเรื่อง Google Ads ก่อนคือ User มา Search Google เพราะอะไร? ง่ายๆเลยคือ เขาก็มา Search เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาใช่ไหมหล่ะ

หลักคิดคือ เราจะต้องนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไปให้ User เขาถึงเลือกคลิกเข้ามาเว็บเรา

ดังนั้นวิธีการเพิ่ม CTR สำหรับ Google Ads คือ ทำ Text Ads ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ User ค้นหาข้อมูล

เทคนิคการเพิ่ม CTR ของ Google Ads คือ เขาหาอะไร เราก็นำเสนอสิ่งนั้นให้กับเขา โดยการทำ Text Ads ให้เกี่ยวข้องกับ Keywords ที่เขา Search มากที่สุด

วิธีการเพิ่มอันดับ เพื่อช่วยเพิ่ม CTR ของ Google Ads

  1. CPC Bid (เรายอมจ่ายค่าคลิกที่เท่าไหร่)
  2. Quality Score (คะแนนคุณภาพของ Ads ที่เราโฆษณาอยู่)

3. วิธีการเพิ่ม Organic CTR สำหรับ SEO

เพียงทำอันดับให้ดี Organic CTR ก็จะดีขึ้น จากสถิติทั่วไปจะเห็นว่าอันดับที่ 1-3 จะมี Click Through Rate ที่ดีมากและได้ Traffic มากถึง 70% ของ Traffic ทั้งหมดเลย ดังนั้น ถ้าคุณจะเพิ่ม CTR จากช่องทาง SEO คงหนีไม่พ้นการทำอันดับให้ดีขึ้น

ซึ่งเทคนิคการดันอันดับ SEO จะมีหลายอย่างเลยไม่ว่าจะเป็นการทำ On-Page ที่ดีตามโครงสร้างที่ Google ชอบ และ Off-Page รวมไปถึงการทำ Backlink ที่ดียิง Link เข้ามา รวมไปถึงโครงสร้างเว็บ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!