เมื่อท่านติดตั้ง Plugin YOAST แล้วสามารถทำ URL Conanical Tag ได้ บทความนี้พามาเจาะลึก พร้อมข้อควรระวังที่เกี่ยวกับSEO และอธิบายให้ว่า Conanical URL ต้องใช้ตอนไหน มีหน้าที่อะไรบ้าง
การทำบทความที่ใช้ Keyword ใกล้เคียงกัน ส่งผลต่อ SEO เพราะ Google Bot ไม่รู้ว่าควรจะจัดอันดับให้กับหน้าเพจไหนกันแน่ เมื่อเพจไม่ติดอันดับ Trafficโดยรวมของเว็บไซต์ก็อาจลดฮวบลงอีก
เป็นหน้าที่ของคนทำ SEO หรือเจ้าของเว็บไซต์ที่จะต้องชี้ให้ Google รู้ว่า หน้าเพจนี้ไหน คือ หน้าเพจต้นฉบับ (Original) ที่เราต้องการให้คนเข้ามาเยี่ยมชม
Canonical Tag คืออะไร
Canonical tag คือ โค้ด (rel=“canonical”) ที่ทำหน้าที่เป็นป้ายบอกให้ Search Engine รู้ว่า URL หรือหน้าเพจที่อยู่ภายใต้ tag นี้คือหน้าเพจหลักของเว็บไซต์ เป็นหน้าเพจต้นฉบับ (Original page)
การทำ Canonical คือ การชี้หน้าเพจหลักบอก Search Engine เพื่อป้องกันไม่ให้ Search Engine มา Index ข้อมูลเว็บไซต์ของเราผิด เป็นหน้าเพจอื่น ๆ ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับหน้าหลัก (เรียกว่า Duplicate content)
เพราะการที่เว็บไซต์ของเรามีหน้าเพจที่คล้ายคลึงกันมากเกินไป จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในสายตาของ Google
การใส่ Canonical tags นั่นทำได้ง่าย เพียงแค่ระบุโค้ดหรือ Tag ตามตัวอย่างนี้ ลงไปในส่วน <head> ของหน้าเพจ นั่นคือ
<link rel=“canonical” href=“https://example.com/sample-page/” />
หากไม่ได้ทำ Canonical Tag จะส่งผลเสียต่อ SEO อย่างไรบ้าง
หากเราไม่ได้ระบุ Canonical Tag ไว้ Google จะตัดสินใจได้ 2 แบบ คือ
- กูเกิ้ลเลือกให้เองว่าควรจดจำหน้าไหนเพื่อนำมาแสดงในหน้าผลการค้นหา ส่วนหน้าที่คล้ายกันหน้าอื่นๆจะไม่แสดงข้อมูล
- กูเกิ้ลตัดสินว่า URL ทั้งหมดนั้นมีความสำคัญเท่ากัน และแสดงผลทั้งหมด ซึ่งอาจจะเฉลี่ยการแสดงผลของคีย์เวิร์ดของหน้าที่คล้ายกัน ทำให้แสดงผลไม่เต็มที่ อันดับจึงไม่ดีในแต่ละ URL
(สนใจกด >> รับทำ SEO)
Canonical Tag ต่างกับ Canonical URL ยังไง
จากโค้ดตัวอย่างข้างต้น Canonical tag มีองค์ประกอบหลักอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน ซึ่งคนมักเรียก 2 อย่างนี้สับสนกัน ได้แก่
- 1. Canonical tag : คือ Tag ที่ใช้ระบุว่า ลิงก์ URL ข้างหลัง Tag นี้ คือ หน้าเพจหลัก >> link rel=“canonical”
- 2. Canonical URL : คือ ลิงก์หน้าเพจหลักที่เราต้องการให้ Search Engine มา Index และเข้าใจว่า หน้านี้คือหน้าเพจ Original โดย Canonical URL จะต้องเป็น Exact URL หรือลิงก์เวอร์ชันเต็มเท่านั้น ระบุไว้ข้างหลัง href=“exact.url” โดยส่วนที่เรียกว่า “Canonical URL” หรือ “Canonical link” >> href=“https://example.com/sample-page/”
ในมุมของ Bot Crawler จะมอง URL ที่เขียนแตกต่างกันว่าเป็นคนละหน้าเพจ (แต่ในมุมของผู้ใช้งาน เราจะเข้าใจว่าคือหน้าเพจเดียวกัน) ยกตัวอย่างเช่นหน้า Home page ที่มีหลากหลาย URL
- http://www.example.com
- https://www.example.com
- http://example.com
- http://example.com/index.php
- http://example.com/index.php?r…
วิธีการสร้าง Canonical Tags
1. ใส่ HTML tag (rel=canonical) ด้วยตัวเอง
การทำ Canonical tag ด้วย rel=canonical ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ก๊อบปี้โค้ดตัวอย่างด้านล่างนี้ไปใช้ วางไว้ในส่วนในหน้าโค้ด HTML ส่วน <head> section ของ Duplicate page หรือหน้าเพจที่มีเนื้อหาใกล้คล้ายคลึงกับหน้าหลัก โดยเปลี่ยน URL ให้เป็น URL ของหน้าหลัก
โค้ด Canonical tag : <link rel=“canonical” href=“https://example.com/canonical-page/” />
ยกตัวอย่าง
สมมติว่า เว็บไซต์ของคุณมีหน้าบริการ คือ https://www.markettium.com/seo-service/ ที่อยากให้เป็นหน้าหลัก
แต่ว่ามี URL อื่นๆ ที่ถูก Index อยู่ใน Google เหมือนกัน แล้วคนสามารถเข้าหน้าเพจบริการนั้นได้เหมือนกับ URL หน้าหลัก ก็ให้คุณใส่ Canonical tag บนหน้าเพจนั้นหรือหน้าเพจ Duplicate
ใส่โค้ดและ URL นี้ ไว้ในส่วน <head> ของหน้าเพจเหล่านั้นแทนด้วยหน้าหลัก : <link rel=“canonical” href=“https://www.markettium.com/seo-service/” />
เช่น
<head>
…
<link rel=”canonical” href=”https://www.markettium.com/seo-service/” />
…
</head>
2. ระบุ Canonical tag ใน WordPress
สำหรับเว็บไซต์ของใครที่ทำผ่าน CMS อย่าง WordPress ไม่จำเป็นต้องใส่ Canonical tag ด้วยตัวเองให้ยุ่งยาก ดังนี้
วิธีใช้ Plugin Yoast SEO ของ WordPress ทำ Canonical tag
- ติดตั้ง Plug-in Yoast SEO กับ WordPress
- กดแก้ไขหน้า page/post (edit page/post)
- เลื่อนลงไปด้านล่าง จะพบ Yoast plugin ให้หาหัวข้อ advance
- กด drop down จะพบหัวข้อ canonical url
- ให้ใส่ URL หน้าที่ต้องการให้เป็นหน้าหลัก
3. การใส่ Canonical Tag ใน Joomla
ใน Joomla คุณสามารถตั้งค่า Canonical Tags ได้โดยใช้ Plugin SH404SEF โดย Plugin นี้จะช่วยให้คุณสามารถตั้งค่า Canonical Tags ได้อย่างง่ายดาย โดยเข้าไปที่เมนู Components > SH404SEF > URL Manager แล้วใส่ URL ของหน้าเพจที่ต้องการตั้งค่า Canonical Tags ลงไปในช่อง Canonical URL (สนใจกด >> รับสอน SEO)
วิธีเช็คว่ามีการติดตั้ง Canonical Tag สำเร็จแล้วหรือไม่
เราแนะนำให้ใช้ Moz Bar ในการเช็ค
(สามารถติดตั้ง Moz Bar ได้ที่ https://moz.com/products/pro/seo-toolbar)
เมื่อติดตั้งแล้ว ให้เปิดใช้งาน Moz Bar แล้วเข้าไปที่หน้าเพจที่เราต้องการเช็ค จากนั้นให้กดที่ Page Analysis หรือไอคอนที่เป็นรูปกระดาษและแว่นขยาย
ให้ดูในแท็ป General Attributes จะมีรายการที่ชื่อว่า Rel=”canonical” ให้เราเช็คว่า Url ที่เราตั้งใน WordPress นั้นแสดงถูกต้องหรือไม่
Canonical Tags สำคัญต่อการทำ SEO ยังไง
- 1. ช่วยคุณนำเสนอ URL ที่ดีที่สุด
อย่างที่รู้กันว่าเราสามารถกำหนด Canonical Tag ขึ้นมาเองได้เพื่อให้ Google รู้ว่าหน้าไหนเป็นหน้าหลักของเรา ดังนั้นการทำ Canonical Tag จึงเป็นการนำเสนอ URL ที่คุณคิดว่าครบถ้วน มีคุณภาพและดีที่สุดสำหรับ User ซึ่งหากตอบโจทย์ครบทุกด้านก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะไต่ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในหน้าแรกของ Google
- 2. ป้องกันการเลือกหน้าผิด
การ Duplicate Content หรือเป็นกรณีที่เรามีหน้าเพจที่เป็นเรื่องใกล้เคียงกันอยู่หลายหน้า ทำให้เวลา Google ส่งบอทเข้ามาตามหาข้อมูลก็จะได้ข้อมูลที่คล้ายกันเยอะแยะเต็มไปหมด เลือกไม่ถูกเลยว่าอันไหนหลัก อันไหนรอง จึงต้องสร้าง Canonical Tag ขึ้นมาเพื่อให้โอกาสกับเราได้บอกว่าอันไหนเป็นหน้าหลักที่จะเอาไปไต่อันดับกันแน่
- 3. รวบรวมข้อมูลเพื่อเพิ่มอันดับ
Google มีการรวบรวมข้อมูลที่ครบถ้วนอย่างมากทีเดียว แต่ด้วยความที่มันครบถ้วนเกินไปนี่แหละทำให้เวลาเก็บข้อมูลก็มักจะสับสนเอง โดยทำให้หน้าที่เราตั้งใจว่าจะให้เป็นหน้าหลักถูกเข้าใจผิด ยิ่งกับเว็บใหญ่ๆ ที่มีข้อมูลมากๆ ต้องให้ Crawl Budget เข้ามาช่วยรวบรวมเลือกดู URL ที่ใช่ที่สุด
แต่ระบบจะเลือกได้ตรงเท่าเราไหม ก็ต้องตอบว่า ไม่
ดังนั้นการทำ Canonical Tag จึงช่วยลดต้นทุนการรวบรวมข้อมูล ประหยัดเวลาและทำให้ Google สามารถหาตัวเลือกที่ดีที่สุดมาได้ เพราะมันจะรวบรวมข้อมูลสำหรับหน้าที่มีการทำ Canonical Tag ก่อนเสมอ ขณะเดียวกันก็จะนำเอาหน้าที่มีเนื้อหาคล้ายกันมาไว้ใน URL เดียวทำให้ไต่อันดับได้ดีขึ้นด้วยนะ
ลักษณะของเว็บไซต์แบบใดที่ควรใช้ Canonical Tag?
แล้วหน้าเพจแบบไหนบ้างที่เราควรจะใส่ Canonical tag? โดยมากจะมีหน้าเพจอยู่ 3 ลักษณะด้วยกันที่เราจะเรียกใช้ Canonical tag ได้แก่
1. Duplicate content
หมายถึง หน้าเพจที่มีเนื้อหาที่เหมือนกับหน้าเพจหลัก หรือเป็นหน้าเพจที่เราโฟกัสทำ Keyword ซ้ำกันหรือใกล้เคียงกัน (จน Google เลือกไม่ถูกว่าต้อง Rank หน้าไหน) ให้เราใส่ Canonical URL ให้กับ Duplicate page หรือหน้าเพจที่ Keyword ชนกับหน้าหลัก
2. Similar content
ทำ Canonical กับหน้าที่มีรายละเอียดหรือข้อมูลคล้าย ๆ กัน กรณีนี้มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์ขายสินค้าที่หน้าสินค้ามักจะมีรายละเอียดคล้ายคลึงกัน อาจจะต่างแค่สีหรือขนาดของสินค้า
3. URL parameters
ติดตั้ง Canonical tag ให้กับเว็บเพจที่มีการติดตั้ง UTM หรือ URL parameters สำหรับติดตามข้อมูลผู้ใช้งานเว็บไซต์ของเราในหลาย ๆ จุดประสงค์ด้วยกัน เนื่องจาก URL ที่ต่างกัน (แม้จะเป็นหน้าเพจเดียวกัน) ตัว Bot Crawler จะมองว่าต่างกัน เช่น
- http://example.com/product/men-shoe/
- http://example.com/product/men-shoe/?isnt=it-awesome
- http://example.com/product/men-shoe/?cmpgn=twitter
- http://example.com/product/men-shoe/?cmpgn=facebook
- http://example.com/product/men-shoe/utm_campaign=analytics-tools &utm_medium=banner&utm_source=friends
ควรใช้ Canonical Tags ตอนไหนบ้าง
นอกจากลักษณะเว็บเพจข้างต้นที่เราควรติดตั้ง Canonical tag ไว้แล้ว ยังมีกรณีที่หน้าเพจประเภทอื่น ๆ ก็เสี่ยงติดปัญหา Bot crawler สับสน และควรทำ Canonical ไว้ก่อน เช่น
- เมื่อหน้า Product และหน้า Product Category มี Tag หรือ Filter แยกย่อยเป็น URL ที่ต่างกัน เช่น หน้าเพจที่กดเปลี่ยนไซส์ เปลี่ยนสีสินค้า แล้วเด้งไปเป็นอีก URL ควรใส่ Canonical tag ไว้เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหาในการ Index ของ Search Engine
- เมื่อหน้าเพจปรากฏในหลาย ๆ Category หรือ Tag คล้ายกับกรณีแรก บางหน้าเพจ เช่น บทความ หรือหน้าสินค้าบางตัว อาจตรงกับ Category หรือ Tag หลายๆ ตัวได้ Bot crawler จึงมีโอกาสเข้าถึงหน้าเพจนั้น ๆ ด้วย URL ที่ต่างกัน
คำแนะนำเพิ่มเติม : สำหรับหน้า Tag เป็นหน้าที่เว็บไซต์จะ Generate ขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกของผู้ใช้งานเว็บไซต์ในการหาข้อมูลหรือหาคอนเทนต์อ่าน และเพื่อลดปัญหาเรื่องการทำ Index และ Ranking ที่สับสน หลายเว็บไซต์จึงมักติด Tag “No-index” สำหรับหน้า Tag ต่างๆ (สนใจกด >> รับดูแลเว็บไซต์ wordpress)
ข้อควรระวังในการใช้ Canonical Tag คืออะไรบ้าง?
Google ได้สรุปสิ่งที่มักทำผิดพลาดในการทำ Canonical tag ไว้ 5 ข้อ อธิบายง่าย ๆ ถึงเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ทำ ตามนี้เลย
1. ใส่ rel=canonical ยิงไปหน้าแรกของซีรี่ส์ (paginated series)
บางบทความหรือบางหน้าเพจ เราอาจออกแบบให้เป็น “ซีรี่ส์” หรือหน้าเพจที่มีเนื้อหาต่อเนื่องกัน (paginated series) เช่น บทความ “Duplicate content คืออะไร (ตอนที่ 1)” และ “Duplicate content คืออะไร (ตอนที่ 2)” หรือตัวอย่างเช่น
- example.com/blog?story=cupcake-news&page=1
- example.com/blog?story=cupcake-news&page=2
- หรือหน้าถัด ๆ ไป
หลายคนอาจเข้าใจว่า กรณีนี้ คือ Similar Content กลัวว่า Google จะมองว่า เป็น Duplicate content จึงแก้ไขด้วยการใส่ Cononical URL เป็นบทความแรก ซึ่งการทำแบบนี้ จะทำให้หน้าอื่น ๆ ไม่ถูก Index ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาในหน้าเพจไม่ได้ซำ้ซ้อนกัน แต่เป็นเนื้อหาที่ต่อเนื่องต่างหาก
หากมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นสิ่งที่ควรทำ คือ การใส่ Markup Tag 2 ตัวนี้ ได้แก่ rel=“prev” หรือ/และ rel=“next” ให้กับหน้าเพจเหล่านั้นแทน วิธีใส่ก็เหมือนกับการใส่ rel=“canonical”
2. เขียน Canonical URL แบบย่อหรือแบบอ้างอิง
การใส่ Canonical URL นั้น Google แนะนำให้ใส่แบบ Exact/Absolute URL หรือลิงก์แบบเต็มรูปแบบ นั่นคือต้องใส่ http:// หรือ https:// ลงไปด้วย เช่น
<link rel=canonical href=“markettium.com/service/seo.html” />
ตัวอย่างที่แนะนำและไม่แนะนำ :
- Recommended : <link rel=canonical href=”http://markettium.com/service/seo.html” />
- Not recommended : <link rel=canonical href=”service/seo.html” />
- Not recommended : <link rel=canonical href=”markettium.com/service/seo.html” />
3. ระวังอย่าใส่ Canonical มากกว่า 1 Tag ในหน้า HTML เดียวกัน
ทำ rel=canonical โดยไม่ได้ตั้งใจหรือใส่หลายครั้ง อาจเกิดขึ้นได้โดยการวาง Canonical Tag ซ้ำกันเอง หรือเกิดจาก Plug-in ที่ใช้ใน CMS (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)
การที่ใส่ rel=canonical หลายครั้งหรือซ้ำซ้อน โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ติดตั้ง Plug-in SEO ที่อาจแทรกลิงก์ rel=canonical ไว้โดยค่าเริ่มต้น หรือในกรณีที่มีผู้ดูแลเว็บหลายคนมาใส่ Tag โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบว่า หน้าเพจมีการทำ Canonical ไว้แล้ว
การประกาศ Canonical หลายครั้ง หรือมี rel=canonical มากกว่า 1 Tag Google จะเลือกมองข้ามการทำ Canonical ทั้งหมด เท่ากับว่า ไม่ได้ทำนั่นเอง
ดังนั้น ก่อนที่จะใส่ Canonical tag ทุกครั้ง ควรตรวจสอบดูที่ <head> ของหน้าเพจนั้น ๆ ก่อน ว่ามี rel=“canonical” อยู่หรือเปล่า
4. ใส่ rel=canonical ในส่วน <body>
หากใส่ rel=canonical ในส่วน <body> ระบบของ Google จะไม่สนใจโค้ดนี้
ตำแหน่งที่ควรใส่ rel=canonical มีเพียงส่วน <head> ของเพจเท่านั้น และควรใส่ไว้ให้อยู่ก่อนโค้ดหรือสคริปต์อื่น ๆ ที่เอามาติดตั้งไว้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ Bot เข้ามา Crawl เจอตั้งแต่แรก
5. ทำ Canonical ต่อกันไปเรื่อย ๆ เป็นลูกโซ่ หรือใช้ Tag แบบผสม
- ตัวอย่างการทำ Canonical แบบลูกโซ่ : ใส่ rel=canonical ให้กับหน้า A → B และจากหน้า B → A หรืออีกรูปแบบคือ การใส่ rel=canonical ให้กับหน้า A → B จากหน้า B → C และจากหน้า C → D หรือต่อไปเรื่อย ๆ
- ตัวอย่างการใช้ Tag แบบผสม (Mixed Tags) : ใส่ rel=canonical ให้กับหน้า A → B แล้วใส่ 301 redirect ให้กับหน้า B → A
การทำใส่แท็ก Canonical ในรูปแบบเหล่านี้ จะทำให้ Crawl Bot เกิดความสับสน หรือการ Index บทความไม่ถูกต้อง Tag ตีกันเอง ย่อมส่งผลเสียต่อการทำ SEO ของเว็บไซต์
6. ห้ามวาง Canonical Tag ซึ่งมี URL เดียวกันในทุกหน้าของเว็บไซต์
มักเกิดโดยการวาง Canonical Tag ใน HTML ของเทมเพลตหลักของเว็บไซต์ ทำให้ Tag ปรากฏบนทุกหน้าในเว็บไซต์
อ้างอิงจาก :
- http://googlewebmastercentral.blogspot.com/2013/04/5-common-mistakes-with-relcanonical.html
- https://developers.google.com/search/docs/advanced/crawling/consolidate-duplicate-urls
หาก Traffic ลดไปแล้ว ก่อนที่จะใส่ Canonical Tag จะแก้ไขอย่างไร?
สำหรับเว็บไซต์ที่ Traffic ตกหรือ Ranking ของหน้าเพจหลักตกอันดับลงไปแล้ว ก่อนที่จะใส่ Canonical tag ต้องยอมรับว่า การกู้ Traffic และอันดับกลับมาเป็นเรื่องยาก แต่ก็มีสิ่งที่อยากแนะนำให้ทำ เพื่อกู้ Traffic อันดับ และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในสายตาของ Google กลับมา ได้แก่ (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ wordpress)
- ลบหน้าเพจที่ไม่สำคัญออกให้หมด เช่น หน้าที่มีเนื้อหาซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น หน้าที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาดู หน้าที่ไม่มีประโยชน์อะไร โดยที่ก่อนลบให้เก็บ URL ของหน้าเหล่านั้นเอาไว้เพื่อทำ 301 Redirect ให้ที่คลิกหรือเข้าถึง URL ที่เราลบไปถูกส่งไปหน้าเพจหลักหรือหน้าเพจที่เราต้องการ
- ให้รีบทำ Canonical tags สำหรับหน้าเพจที่ยังจำเป็น แต่มีเนื้อหาคล้ายคลึงใกล้เคียงกัน เมื่อทำเสร็จให้เรียก Crawler ของ Google เข้ามา Index เว็บใหม่อีกครั้ง ทำได้ด้วยการ Inspect URL ผ่าน Google Search Console หรือส่งแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ให้ Google
- ทำ Internal link ไปยังหน้าเพจหลักหรือหน้าเพจที่ต้องการกู้ Traffic และ Rank ด้วยการเขียนบทความใหม่แล้วแทรกลิงก์ไปยังหน้าเพจนั้นๆ โดยหน้าเพจหรือบทความที่เขียนขึ้นใหม่ ต้องไม่ใช้ Keyword เดียวกันกับเพจที่เราจะลิงก์ไปหา แต่แนะนำว่า ให้มีเนื้อหาสอดคล้องกัน
- ทำ Backlink หรือส่งลิงก์จากภายนอกเว็บไซต์ของเรา ให้มาหาหน้าเพจหลักหรือหน้าเพจที่เราต้องการ จะช่วยเพิ่ม Traffic และความน่าเชื่อถือในสายตาของ Google ให้กับหน้าเพจนั้นๆ
แนะนำ Plugin ที่ช่วยแก้ไข Canonical URLs
Plug-in ที่อยากจะแนะนำสำหรับการแก้ไขและทำ Canonical tag มีอยู่ 3 ตัวด้วยกัน ซึ่ง Plug-in เหล่านี้ก็เป็นเครื่องมือทำ SEO ที่มีชื่อเสียงและมีการอัปเดตเวอร์ชันอยู่เรื่อย ๆ และมียอด Active User หลักล้านขึ้นไป
(มี Plug-in อื่นที่ใช้สำหรับการทำ Canonical URLs โดยเฉพาะ แต่ไม่การอัปเดตล่าสุดค่อนข้างนานเป็นปี จึงไม่ได้แนะนำเอาไว้ เพราะกลัวว่าจะใช้งานไม่ได้)
- Yoast SEO Plug-in คู่บุญกับ WordPress เป็นเครื่องมือทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ มีฟีเจอร์หลากหลาย โดยเฉพาะสำหรับการทำ On-page SEO แน่นอนว่า สามารถใส่ Canonical URL ได้อย่างง่ายดาย เป็นหนึ่งในวิธีที่แนะนำไปตั้งแต่ต้นบทความ
- AIOSEO หรือ All-in-One SEO ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็นเครื่องมือทำ SEO แบบครบลูป ซึ่งสำหรับคนที่ใช้ CMS อย่าง WordPress เมื่อติดตั้ง AIOSEO ก็จะได้เครื่องมือหน้าตาคล้ายกับ Yoast SEO ใช้งานง่าย ส่วนฟีเจอร์การใส่ Canonical URLs ของเจ้านี้ ก็หน้าตาเหมือนกับ Yoast SEO เลย และยังมีระบบป้องกัน Duplicate content ด้วยการใส่ Canonical URLs แบบอัตโนมัติด้วย
- Rank Math SEO เช่นเดียวกับ AIOSEO เจ้านี้คือ Plug-in SEO โดยเฉพาะ จึงมีฟีเจอร์การใส่ Canonical URLs รวมไปถึง มีระบบ Auto Canonical URLs ที่ช่วยใส่ URLs หน้าหลักและป้องกันปัญหา Duplicate content ให้แบบอัตโนมัติ
สรุป
การทำ Canonical tags ให้เว็บไซต์ คือ การชี้เว็บไซต์บอกกับ Search Engine ว่า หน้าเว็บที่เราชี้คือหน้าเพจหลักที่เราต้องการให้ Google ทำการ Index ป้องกันการ Index หน้าเพจที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันและไม่ต้องการให้ทำอันดับแข่งขันกับหน้าหลักที่เราต้องการทำ เพื่อผลลัพธ์การทำ SEO ที่ดี (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ E-Commerce)
แต่ก่อนจะเกิดปัญหาเรื่องของ Keyword ชนกัน หรือ Duplicate content เราควรวางแผนการทำคอนเทนต์ การสร้างหน้าเพจ และวางแผน Keyword ให้ดีก่อน ให้ไม่ชนกันก่อน เพราะหากเว็บไซต์ Traffic ร่วง หรืออันดับเพจตกลงมา อย่างไรการทำ Canonical เพื่อกอบกู้เว็บไซต์ให้กลับมาเหมือนเดิมก็ต้องใช้เวลาอยู่ดี