YOAST SEO คืออะไร เขียนบทความอย่างไรให้ไฟเขียวผ่านตลอด

สอนวิธีใช้เครื่องมือ plugin wordpress YOAST SEO ในการปรับ ON-PAGE แบบจัดเต็ม อธิบายการติดตั้งปลั๊กอินโยสท์เอสอีโอ แนะนำประโยชน์ต่างๆของ YOAST SEO เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกับ Plugin อื่นๆ รวมถึงการแจกแจงให้เห็นกับตาว่า YOAST SEO PREMIUM เทียบกับแบบธรรมดาแตกต่างกันไหม ควรซื้อมาใช้หรือเปล่า

ในการสร้างบล็อกหรือเว็บไซต์ที่มีคุณภาพนั้นต้องดูทั้งแพล็ตฟอร์มที่ใช้, ธีมที่เหมาะสม, ความสวยงาม สะอาดตา, มีเมนูที่เข้าใจได้ง่าย, โหลดได้เร็ว รวมถึงความสามารถทำอันดับ เพื่อการสืบค้นบน google ได้อย่างดี

มีปลั๊กอินเพื่อการทำ SEO เพื่อทำอันดับที่ดีบน google อยู่มากมาย Yoast นั้นก็เป็นหนึ่งในปลั๊กอินเพื่อทำ SEO แนวหน้า ดังนั้นในบทความนี้เราจะพาท่านไปรู้จักปลั๊กอินตัวที่ชื่อว่า Yoast SEO กัน (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)

Yoast SEO คือ

Yoast SEO คือ ปลั๊กอินจากเว็บไซต์ Yoast.com ที่ทำขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอนเทนต์ที่คำนึงถึงหลัก SEO โดย Yoast นั้นสามารถใช้ไดักับหลายแพลตฟอร์มโดยใช้ได้เป็นอย่างดีกับ WordPress ซึ่งจะช่วยให้นักสร้างเว็บที่ไม่ชำนาญทางด้านการเขียนโปรแกรมสามารถสร้างบทความ SEO ให้ขึ้นไปรั้งอยู่ในอันดับดีๆ บน google ได้อย่างมีแบบแผน

ประโยชน์ของ Yoast SEO

1. ช่วยให้บทความอ่านง่ายขึ้น

โดยประเมินจาก 3 ตัวชี้วัด คือ การกระจายตัวของ subheading(ไม่ให้เขียนข้อความยาวเกิน ต้องมีheadingย่อยๆขั้นเอาไว้เรื่อยๆ) , paragraph lengh(ควรเคาะเว้นบรรทัด ไม่ควรเขียนข้อความยาวๆไปเรื่อยๆ ไม่เกิน 5 บรรทัดควรเว้นบรรทัดนึง) , sentence lengh(ควรเว้นวรรคข้อความในแต่ละบรรทัด ไม่เขียนยาวติดกันเกินไป)

2. ช่วยให้คอนเทนต์ถูกต้องตามหลักการทำ SEO

ปลั๊กอิน Yoast จะช่วยให้คอนเทนต์ถูกต้องตามหลักการทำSEO เพราะมีคุณสมบัติในการนับคำคีย์เวิร์ด การนับความสั้น/ยาวของบทความ การเว้นวรรค รวมถึงการแนะนำคำอธิบายต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้บทความหรือคอนเทนต์มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ที่สำคัญหากทำถูกต้องตามหลักSEO ก็จะทำให้บทความของเราติดอันดับแรกๆ คนค้นหาเจอง่าย เป็นต้น

3. ช่วยกำหนด Focus Keyword

ปลั๊กอินของ Yoast จะมีช่อง Focus Keyword ที่จะช่วยเลือกคีย์เวิร์ดที่เราต้องการทำSEOของหน้านั้นๆ เช็คในส่วนของ Title และ Meta description และความหนาแน่นของkeyword(keyword density)ของทั้งบทความ

4. ช่วยวิเคราะห์technical SEO ของเว็บไซต์

Yoast มีฟีเจอร์ที่ช่วยในการปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์เกี่ยวกับ SEO ในด้าน Technical ให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ว่ามีอะไรที่ควรปรับปรุงบ้าง เป็นเหมือนเช็กลิสต์ในการทำ SEO ของคนที่มีเว็บไซต์

5. ใช้ง่าย

เพราะมีฟีเจอร์ที่คอยให้คำแนะนำว่าต้องทำอะไรบ้าง โดยมีสัญญาณไฟ เขียว ส้ม แดง แสดงแทนคำแนะนำต่างๆ ว่ายังมีจุดไหนบ้างที่ควรปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือให้ถูกต้องตามหลักของ SEO

  • สีเขียว หมายถึง ดีมาก
  • สีส้ม หมายถึง ปานกลาง
  • สีแดง หมายถึง ไม่ผ่าน หรือต้องแก้ไข

ซึ่งสัญญาณไฟข้างต้น จะช่วยให้เรากลับมารีเช็กอีกทีว่าบทความหรือคอนเทนต์ของเรามีจุดไหนที่ควรปรับเพิ่มเพื่อให้ถูกหลัก SEO บ้าง ซึ่งในจุดนี้ก็จะส่งผลดีต่อการติดอันดับของบทความหรือคอนเทนต์ของเราด้วย

วิธีติดตั้ง Yoast SEO

จะเห็นว่า Yoast SEO คือปลั๊กอินที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์และช่วยแก้ไขคอนเทนต์ให้มีคุณภาพมากขึ้นได้ในเครื่องมือเดียว แทนที่คุณจะต้องไปติดตั้งปลั๊กอินอื่นๆ เพิ่มเติมอีกหลายตัว ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว ใครที่สนใจอยากจะติดตั้ง Yoast SEO ไว้บน WordPress ของคุณแล้วละก็ลองดูวิธีการติดตั้งด้านล่างได้เลย (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ wordpress)

  1. ทำการ Log-in เข้าไปยังเว็บไซต์ WordPress ของคุณ
  2. ให้ไปที่แถบเมนูด้านข้าง แล้วเลือก Plugins
  3. หลังจากนั้นให้คุณกด ‘Add New’ เพื่อทำการเพิ่ม Plugin ใหม่ แล้ว Search หา Yoast SEO ในช่องทำการค้นหา
  4. กดปุ่ม Install Now หลังจากนั้นรอจนกว่าจะทำการติดตั้งเสร็จ
  5. หลังทำการติดตั้งเสร็จปุ่ม Install Now จะเปลี่ยนเป็นคำว่า Activate ให้คุณคลิกที่ปุ่มเพื่อติดตั้งและเริ่มต้นการใช้งานได้เลย

สอนการใช้งาน Yoast SEO

หลังจากทำการติดตั้ง Yoast SEO แล้ว คราวนี้เราจะมาสอนวิธีการตั้งค่าและใช้งาน Yoast SEO กันต่อ มาลองดูกันดีกว่าว่าเครื่องมือนี้มีหน้าตาฟีเจอร์ หรือวิธีการใช้งานอะไรที่น่าสนใจบ้าง

ตั้งค่า Yoast SEO แบบพื้นฐาน

สำหรับใครที่เพิ่งติดตั้ง Yoast SEO เป็นครั้งแรก สามารถทำการตั้งค่าเครื่องมือแบบพื้นฐานได้ ดังนี้

  1. ไปที่แถบเมนูด้านซ้ายมือแล้วเลือกที่ “Yoast SEO”
  2. จะมีการ์ดปรากฏขึ้นมาในหน้า Dashboard ว่า First-time SEO Configuration ให้คุณคลิกที่ลิงก์ Configuration wizard เพื่อทำการตั้งค่าเบื้องต้น
  3. ต่อมาจะเข้าสู่หน้าหลักในการตั้งค่า ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะดูวิดีโอการใช้งานทางด้านขวา หรือจะเข้าไปตั้งค่าเลยในด้านซ้าย หากคุณต้องการตั้งค่าให้คลิกที่ปุ่ม Configure Yoast SEO
  4. เมื่อเข้ามาในหน้าตั้งค่า คุณจะพบกับคำถามประมาณ 9-10 คำถามที่ช่วยตั้งค่าการใช้งาน Yoast SEO ในเบื้องต้นให้กับคุณ เช่น
  • Environment : เป็นการเลือกว่า เว็บไซต์ของคุณะพร้อมที่จะให้ Bot เข้ามาเก็บข้อมูล (Index) แล้วหรือยัง
  • Site type : เป็นการเลือกว่าเว็บไซต์ของคุณจัดอยู่ในประเภทใด เช่น เป็นเว็บบล็อก เว็บขายสินค้าออนไลน์ เว็บข่าว เว็บธุรกิจขนาดเล็ก เป็นต้น
  • Company or person : เลือกว่าเว็บไซต์ของคุณจัดตั้งในนามบริษัทหรือส่วนบุคคล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไปแสดงผลใน Google’s Knowledge Graph Card บนหน้า Result ของ Google อีกด้วย

หลังจากที่คุณทำการตั้งค่า Yoast SEO ในขั้นพื้นฐานจนครบแล้ว ให้คุณกลับมายังหน้า Dashboard แล้วเลือกที่แถบเมนู Features ที่อยู่ข้างๆ โดยส่วนนี้เป็นส่วนของการตั้งค่าที่ให้คุณเลือกว่า อยากให้ปลั๊กอินช่วยดูแลในส่วนไหนบ้าง ซึ่งคุณสามารถเลือกเปิด-ปิดการใช้งาน Features เหล่านี้ได้ด้วย เช่น การปรับแต่ง XML Sitemap เป็นต้น

Yoast SEO Plugin มีวิธีใช้งานอย่างไร

ในด้านการใช้งาน Yoast SEO Plugin จะใช้เพื่อปรับปรุง On-Page SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้ (สนใจกด >> สอนทำเว็บไซต์ wordpress)

1. ทำความรู้จักเครื่องมือ Yoast SEO Plugin

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักหน้าตาเครื่องมือนี้กันสักหน่อย อันดับแรกให้คุณลองกดสร้างหน้าเพจหรือหน้าบล็อกขึ้นมา แล้วเลื่อนลงมาด้านล่างสุด จะเจอกับหน้าตาของเครื่องมือ Yoast อยู่ด้านล่าง นิยมใช้แก้ไข On-Page ให้ดีขึ้นทั้ง Title, Description, URL ไปจนถึงการใช้คีย์เวิร์ดในเนื้อหา

2. แก้ไข Title, Description และ URL ด้วย Yoast SEO Plugin

สำหรับส่วนแรกที่เราสามารถทำการแก้ไขได้เลยก็คือส่วน Title, Description และ URL โดยคลิกเข้าไปที่ Edit Snippet แล้วทำการแก้ไข ดังนี้

  • ส่วน SEO Title ทาง Yoast SEO จะมี default ขึ้นมาให้โดยจับจากชื่อบทความ หน้าเพจ และ ชื่อของเว็บไซต์ แต่มันมักจะยาวเกินกว่าที่ Google กำหนด ให้ทำการลบออกแล้วเขียนเองใหม่ได้เลย
  • ส่วน Slug URL คุณสามารถตั้ง URL ที่ชอบได้ด้วยตัวเอง(แต่ควรมีคำ Focus keyword)
  • ส่วน Meta Description จะเป็นส่วนใส่คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าเพจหรือบทความนี้

3. ใส่ Focus Keyword

สำหรับใครที่ทำ Keyword Research มาแล้วก็ต้องมี Focus Keyword ของแต่ละบทความแน่นอน ซึ่งให้คุณนำคีย์เวิร์ดนั้นมาใส่ในช่อง Keyphrase synonyms เพื่อตรวจสอบว่าบทความของคุณและ Keyword ที่ใช้เขียนนั้นปรับปรุงได้ตรงกับที่ Google ตั้งการหรือยัง

โดยสามารถเช็กคุณภาพได้จาก Checklist ด้านล่าง ซึ่งจะมีการแบ่งให้ดูด้วยว่าคุณทำอะไรได้ดี อะไรยังพัฒนาได้อีก และอะไรควรปรับปรุง ซึ่งแยกจากสีของไฟที่เหมือนกับไฟจราจร

  • สีเขียว = ทำดีแล้ว
  • สีส้ม = พัฒนาได้อีก
  • สีแดง = ควรปรับปรุง

ซึ่งไฟแต่ละสีที่ขึ้นมาจะบอกให้ด้วยว่าคุณจะแก้ให้ไฟทั้งหมดกลายเป็นสีเขียวได้ยังไง ดังนี้

  • Outbound links คือ การระบุให้ใส่ Outbound links ในบทความ
  • Keyphrase length คือ การใส่ Keyword ที่มีความยาวพอดีกับบทความ
  • Keyphrases or synonyms appear in the meta description คือ การใส่ Keyword ลงไปใน Meta Description (ถ้าไม่มีปรากฏ ไฟจะขึ้นสีแดง)
  • Meta description length คือ ตรวจสอบความยาวของ Meta Description ว่าดีกับการทำ SEO หรือไม่
  • Previously used keyphrase คือ การตรวจสอบให้แน่ใจว่า กำลังใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เคยถูกใช้มาก่อนในบทความอื่นๆ ในเว็บไซต์
  • Text length คือ ตรวจสอบความยาวของบทความโดยจะต้องให้เขียนไม่น้อยกว่า 300 คำขึ้นไปจึงจะได้ไฟสีเขียว
  • Keyphrase in title คือ การตรวจสอบว่า ในบทความหรือคอนเทนต์มีการใส่คีย์เวิร์ดลงใน SEO Title หรือยัง
  • SEO title width คือ การตรวจสอบความยาวของ SEO title ว่ามีความยาวที่พอดีหรือไม่
  • Keyphrase in slug คือ การตรวจสอบคีย์เวิร์ดใน Slug ว่ามีความถูกต้องตรงกับคีย์เวิร์ดที่ใช้หรือไม่
  • Keyphrase in introduction คือ การตรวจสอบว่าใส่คีย์เวิร์ดในบทนำของย่อหน้าแรกหรือยัง
  • Keyphrase density คือ การตรวจสอบความหนาแน่นของการเขียน Keyword ในหน้านั้นๆ เพื่อไม่ให้ใส่เยอะหรือน้อยจนเกินไป
  • Keyphrase in subheading คือ ตรวจสอบว่าคีย์เวิร์ดที่ใช้ในบทความหรือคอนเทนต์มีอยู่ในส่วนของหัวข้อย่อย (H2, H3)หรือไม่
  • Image alt attributes คือ การตรวจสอบว่าทำการใส่ ALT ให้กับรูปภาพในบทความหรือยัง ถ้ายังไม่ใส่ให้กลับไปเพิ่มด้วย
  • Internal links คือ การตรวจสอบว่ามี Internal Link ในหน้านั้นหรือไม่

การทำ Canonical URL ด้วย YOAST SEO

Canonical URL จะช่วยให้เสิร์ชเอนจิ้นรู้ว่า หน้าเว็บใดควรได้รับการจัดทำดัชนีและจัดอันดับให้สูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPS) โดย Canonical URL ยังช่วยในเรื่องเนื้อหาที่ซ้ำกัน

เมื่อมี URL สองรายการที่มีเนื้อหาคล้ายกันมาก Canonical URL จะกำหนดให้ URL หนึ่งรายการเป็น URL หลักที่เหลือเป็น URL ย่อยที่ไม่สำคัญและจะชี้กลับไปที่ URL หลัก เพื่อเพิ่มความสำคัญ

ดังนั้น Canonical จึงช่วยลดการสร้างเนื้อหาที่ซ้ำกัน และช่วยผลักดัน URL หลักมีอันดับที่สูงขึ้นใน keyword ที่ท่านเลือกได้ (สนใจกด >> สอน woocommerce)

12 เทคนิคการปรับบทความ Yoast SEO WordPress ง่ายๆให้ไฟเขียว

  1. ในบทความต้องมีคำที่เป็น Focus Keyword ไม่ซ้ำกับหน้าอื่น
  2. ชื่อเรื่องบทความต้องไม่ยาวเกินไป หรือสั้นเกินไป
  3. วาง Focus Keyword ไว้ที่คำแรกของชื่อบทความ
  4. มี Keyword อยู่ที่ URL
  5. ต้องมี keyword ปรากฏอยู่ที่ย่อหน้าแรก (First Paragraph) ของบทความ
  6. ความยาวเนื้อหาของบทความที่ดีต้องยาวไม่น้อยไปกว่า 300 คำ
  7. ต้องมีรูปภาพประกอบบทความ และต้องใส่Alt text ของรูปภาพเป็นคำ Keyword
  8. ต้องมีทั้ง External Link และ Internal Link โดย External Link การลิงก์ไปยังเว็บไซต์ภายนอก ซึ่งจะต้องลิงก์ให้เกี่ยวข้องกับบทความของเราด้วย
  9. สัดส่วนของ Keyword เมื่อเทียบกับปริมาณ Text ทั้งหมดในบทความ ไม่ควรเกิน 5 %
  10. บทความต้องมีหัวข้อใหญ่ ที่เรียกว่า Subheading และต้องมีคำ Keyword อยู่ใน Subheading รวมอยู่ด้วย
  11. Meta Description ต้องปรากฎคำ Focus Keyword
  12. บทความต้องจัดวางให้อ่านง่าย

YOAST SEO PREMIUM ดีไหม???

ตารางเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่าง Yoast SEO และ Yoast SEO Premium

feature

  1. การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO
  2. ระยะเวลาการทำ SEO
  3. ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาที่ดีขึ้นได้
  4. การจัดอันดับของเพจผิด สำหรับคีย์เวิร์ดบางคำ
  5. การจัดการกับหน้าที่เสีย (404 error)

Yoast SEO

  1. เข้าถึงฟีเจอร์เรียนรู้เพิ่มเติมและคำแนะนำการใช้งานได้จำกัด
  2. ต้องใช้เวลาและความพยายามเพิ่มขึ้นในการทำงานกับการกำหนดค่าต่างๆด้วยตนเอง
  3. แสดงผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเนื้อหาเว็บไซต์ได้เบื้องต้น
  4. ต้องค้นหาหน้าที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงด้วยตนเองเพื่อสร้างโครงสร้างการเชื่อมโยงภายใน
  5. สร้างการเปลี่ยนเส้นทางด้วยตนเองสำหรับทุกหน้าที่คุณลบ

Yoast SEO Premium

  1. เข้าถึงฟีเจอร์เรียนรู้เพิ่มเติมและคำแนะนำการใช้งานครบถ้วนสมบูรณ์
  2. ฟีเจอร์พรีเมียมทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยคุณประหยัดเวลา มีการใช้ Workouts เพื่อเริ่มเพิ่มประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว
  3. แสดงผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเนื้อหาเว็บไซต์แบบขั้นสูง
  4. คุณสามารถใช้คุณลักษณะการเชื่อมโยงภายใน (Internal) เพื่อให้แน่ใจว่า Google รู้ว่าหน้าใดสำคัญที่สุด
  5. เปลี่ยนเส้นทางหน้าเว็บที่คุณลบออกโดยอัตโนมัติ และจัดการการเปลี่ยนเส้นทางของคุณได้ง่ายๆ

ฟีเจอร์เด่นๆ ที่น่าสนใจของ Yoast SEO Premium

  1. ฟังก์ชั่น Workouts ช่วยทำให้ไซต์ของคุณมีรูปแบบที่ดีถูกต้องตามหลัก SEO เช่น ช่วยให้บทความสำคัญของคุณมีอันดับสูงขึ้น เพิ่มยอดวิวในการอ่านบทความนั้นๆได้มากขึ้น , ทำช่วยปรับปรุงเนื้อหา (clean up) เนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น จนทำให้ Google ค้นหาหน้าได้ง่ายขึ้น , ช่วยเพิ่มลิงก์ภายในไปยังโพสต์และเพจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    Workouts option in Yoast
  2. ฟังก์ชั่น Redirects ช่วยเปลี่ยนเส้นทางบนเว็บไซต์ (อีกหนึ่งวิธีที่พบได้บ่อยที่สุด ใช้เพื่อแก้ไขลิงก์เสีย , ปัญหาตามรูปแบบบัญญัติ และเนื้อหาที่ซ้ำกัน ซึ่งมีความสำคัญสำหรับ SEO)
  • ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของ Redirection(การเปลี่ยนเส้นทาง) คือ สามารถใช้เพื่อแก้ไขลิงก์ที่เสียเมื่อหน้าถูกลบหรือย้าย โดยชี้ URL ทั้งหมดไปที่ URL เดียวที่ถูกต้อง ดังนั้น แล้วการเปลี่ยนเส้นทางเป็นวิธีการส่ง URL หนึ่งไปยังอีก URL หนึ่ง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO เพราะจะช่วยให้ Google เข้าใจว่าคุณให้ความสำคัญหน้าใดคุณต้องการสร้างดัชนีหน้าใดในไซต์ของคุณ

ทำไมต้องใช้ ฟังก์ชั่น Redirects :

  • หน้าเก่าไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปหรือมีความเกี่ยวข้อง
  • เพจเก่าถูกเปลี่ยนชื่อและจำเป็นต้องอัพเดทด้วยชื่อใหม่ในทุกหน้าที่ลิงค์มา
  • เพจเก่าถูกย้ายแล้วและจำเป็นต้องอัพเดทตำแหน่งใหม่ในทุกหน้าที่ลิงค์มา

Yoast SEO Premium สามารถเปลี่ยนเส้นทางเหล่านี้ให้คุณโดยอัตโนมัติ โดยเปลี่ยนเส้นทางให้คุณย้ายหน้าและโพสต์จากเว็บไซต์เก่าไปยังใหม่ได้ (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ E-Commerce)

YOAST สร้าง Sitemap ได้ฟรี

Yoast นั้นมี Sitemap มาให้พร้อม Sitemap คือการสร้างหน้าสารบัญเว็บไซต์สำหรับให้ Search engine มาเก็บข้อมูลได้สะดวก โดยมันจะสร้างการรายงานเหมือนแผนที่ขึ้นมา ให้บอทของ search engine เหล่านั้นไต่ไปเก็บข้อมูลตามลิงค์ต่างๆ ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เพราะเป็นการเตรียมพร้อมไว้แล้ว

หากเราเลือก Enable ระบบก็จะสร้างหน้า Sitemap ให้เราเอง สามารถคลิกที่ปุ่ม XML Sitemap เพื่อดูหน้าที่ถูกสร้างได้ ปกติจะเป็น ชื่อเว็บ/sitemap_index.xml เราสามารถนำ url นี้ไปกรอกใน Google Search Console เพื่อให้ google มาเก็บข้อมูล (index) เว็บของเราได้ในภายหลัง

Webmaster Tools ของ YOAST

ในส่วนนี้เป็นการ Verify หรือใช้ยืนยันตัวตน เพราะเขาถือว่ามีแต่เจ้าของเว็บเท่านั้นที่จะทำได้ ยกตัวอย่าง เวลาที่เรานำเว็บของเราไปลงทะเบียนกับ Google Web Console เขาก็จะให้เราเลือกการ Verify เพื่อยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของเว็บนี้จริง วิธีการยืนยันตัวตนนี้ อาจจะมีหลายวิธี หนึ่งในนั้นก็คือการคัดลอกรหัสที่ Google สร้างขึ้นมาใส่ในเว็บของเรา ซึ่งเราจะนำมากรอกในช่องนี้เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนก่อนทำการ Verify แต่ถ้าเว็บของเราได้ทำการ Verify ด้วยวิธีการอัพโหลดตัวยืนยันตัวตนไปเรียบร้อยแล้ว ในที่นี้เราจึงไม่จำเป็นต้องกรอกอะไร

YOAST กับการทำ Social media markup

นอกจากนี้ Yoast ยังมีฟังชั่นการควบคุมรูปภาพ และ title เพื่อใช้ในการแชร์ไปยัง social media ให้แสดงผลถูกต้องอีกด้วย โดยให้เราคลิกตรงสัญลักษณ์ social share ให้เราใส่ข้อมูลให้ครบ และจุดสำคัญ ทุกบทความเราต้องมีรูปภาพหน้าปก ขนาดรูปภาพที่เขาแนะนำคือ 1200×630 px เพื่อให้การแชร์ไปยัง Facebook รูปจะได้ออกมาสวยที่สุดนั้นเอง

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลองไปทดสอบการแชร์ไปยัง Facebook ดูว่าภาพที่โชว์ เป็นภาพที่เราต้องการรึยัง หากบางครั้งภาพที่แชร์ไป ไม่แสดงภาพที่เราต้องการ เราอาจต้องไปเคลียร์แคช การจำรูปภาพบน Facebook สักเล็กน้อย

RANK MATH กับ YOAST ทำงานต่างกันอย่างไร?

จริง ๆ แล้วทั้ง Rank Math กับ Yoast ต่างก็มีฟังก์ชั่นหลักในการปรับแต่ง SEO ที่คล้ายคลึงกัน รวมไปถึงมีประสิทธิภาพไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน แต่อาจจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนตรงที่ Rank Math มี ความสามารถในการจัดการคีย์เวิร์ด : สำหรับเรื่องการจัดการคีย์เวิร์ด Rank Math อาจมีความน่าสนใจมากกว่า ตรงที่สามารถปรับแต่งคีย์เวิร์ดได้หลายตัวและทำได้แม้ใช้งานเวอร์ชั่นฟรี แต่ในขณะที่ Yoast SEO จะแตกต่างออกไปเพราะในเวอร์ชั่นฟรีจะสามารถปรับแต่งได้เพียงโฟกัสคีย์เวิร์ดเท่านั้น

ข้อควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับ YOAST SEO WordPress

  • ไม่ใช่ว่าเราทำจนหมดทุกข้อแล้วเว็บเราต้องเป็นที่ 1 เสมอไป ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างในการทำ SEO
  • ผู้กำหนดเงื่อนไขต่างๆ คือผู้สร้างระบบ เช่น Google ดังนั้นผู้ที่รู้ดีที่สุดก็คือ Google สิ่งที่เราทำกันคือสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมจากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
  • ทั้ง WordPress, Theme WordPress, Plugin WordPress ไม่ได้รับประกันว่าจะทำให้เว็บคุณเป็นที่ 1 แม้คุณจะใช้ทั้งหมดนี้ เหตุผลตามข้อแรกที่กล่าวไว้
  • เหนือสิ่งอื่นใด วิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้อีกทางหนึ่งก็คือ ความใส่ใจ รู้จักการวิเคราะห์เว็บของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เขียนสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือตรงกับความต้องการของเป้าหมาย การแชร์และปากต่อปากนั้นเป็น SEO ที่มีคุณภาพที่สุด
  • อย่าน้อยใจถ้าบทความของเราไม่ได้ไฟเขียว เพราะภาษาอังกฤษและภาษาไทยนั้นไม่เหมือนกัน การประมวลผลบางทีใช้ไม่ได้กับภาษาไทย เช่น Title หรือชื่อเรื่องเราเป็นภาษาไทย แต่ slug หรือ url ของเราเป็นภาษาอังกฤษ แค่นี้คะแนน seo ของเราก็ลดแล้ว แม้แต่การนับคำ การเว้นวรรคก็ไม่สามารถนับให้เหมือนกันกับภาษาอังกฤษได้ ถ้าจะทำให้เป๊ะ บางทีอาจจะอ่านไม่ลื่นตาลื่นหู เพราะจะมีแต่คำเดิมซ้ำๆ อยู่เต็มไปหมด เหมือนเป็นการสแปม

เราต้องเขียนให้คนอ่านรู้เรื่อง เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่ google นำมาวัด เช่น คนอ่านอยู่หน้าเรานานเท่าไหร่ มีการคลิกต่อไปหน้าอื่นๆ หรือไม่ การดูพฤติกรรมของคนอ่านก็อาจจะนำมาพิจารณาให้คะแนนให้กับหน้านั้นๆ มากกว่าหน้าที่คนเปิดมาแล้วก็ปิดไปในเวลาไม่กี่วินาที

 

สรุป

Yoast เป็นโปรแกรมปลั๊กอิน SEO สำหรับใช้งานใน WordPress เพื่อช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพของหน้าpageหรือpostแต่ละหน้า โดย Yoast SEO จะมีฟังก์ชั่นเครื่องมือค้นหาและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเนื้อหาในแต่ละเพจ ซึ่ง Yoast SEO มี 2 เวอร์ชันให้งานกัน คือ 1. เวอร์ชันฟรี และ 2. เวอร์ชันพรีเมียม

ความแตกต่างของแต่ละversionของ Yoast SEO คือ Yoast SEO Freemuim จะเน้นเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้ถูกหลักของเสิร์ชเอนจิ้นและ SEO โดยมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่เข้าใจง่าย แต่สำหรับ Yoast SEO Premuim จะมีฟีเจอร์ขั้นสูงที่ช่วยในการวิเคราะห์เพิ่มเติมแต่จะดีถ้าท่านทำบทความเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทยไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่

ข้อดีของ Yoast SEO คือ ใช้งานง่ายเหมาะสำหรับคนทำ SEO ทุกระดับ มีประโยชน์ดังนี้

  • ทำให้เสิร์ชเอนจิ้นค้นหาไซต์เจอได้ง่ายขึ้น ช่วยให้คุณได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้นใน SERP
  • ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User experience) และเพิ่มความเร็วของไซต์

Yoast SEO จึงได้กลายเป็นหนึ่งในปลั๊กอิน WordPress ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตัวหนึ่ง เพราะช่วยให้คนทำ SEO เหล่าบล็อกเกอร์ นักเขียน สามารถสร้างบทความคุณภาพและช่วยปรับปรุงคุณภาพเนื้อหาในเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น เพราะปลั๊กอินนี้ จะให้คำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณได้เป็นอย่างดี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!