Duplicate content คืออะไร ทำไมถึงมีผลเสียต่ออันดับSEOทั้งเว็บไซต์

แชร์เทคนิคไอเดียการคิดและทำ Original Content หลีกเลี่ยงการ Duplicate content หรือ copy บทความคอนเทนต์มาทั้งดุ้น ส่งผลให้ลดคะแนนแรงก์บนหน้า SERP ของ Google อีกทั้งกูเกิ้ลอาจจะไม่บันทึกหน้านั้นลงระบบทำให้หน้าเพจนั้นไม่ติดอันดับใดๆ บทความเสี่ยงถูกแบน และที่สำคัญเว็บไซต์ทั้งเว็บอาจจะถูกลดความน่าเชื่อถือ ทำให้อันดับwebsiteตกแบบกราวรูด ดีไม่ดีก็ถูกแบนทั้งwebไปเลยทีเดียว

การที่มีบทความซ้ำกันหรือคล้ายกันมากๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะส่วนนี้จะทำให้ Google มองเว็บเราไม่ดี และทำให้คะแนน SEO ร่วงเอาง่ายๆ แต่โดยทั่วไปแล้วเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะมีเนื้อหาซ้ำกันในหนึ่งเว็บไซต์ ส่วนใหญ่เกิดจากกรณีที่เราไม่ตั้งใจซะด้วย ลองมาดูกัน

Duplicate Content คืออะไร

Duplicate Content คือ การที่มีเนื้อหาเหมือนกันทั้งหมด หรือเกือบจะเหมือนกัน โดยอยู่บน URL ที่ต่างกัน ให้ลองนึกถึงเว็บไซต์ที่คัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่นมา หรือนำมาแก้ไขเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่เพียงพอที่จะตบตา algorithm ของ Google

แต่ถ้าเป็นเนื้อหาที่แปลมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน โดยการใส่สำนวนของผู้เขียนลงไปด้วย อันนี้ไม่ถือว่าเป็น Duplicate Content เพราะคงไม่มีใครแปลออกมาแล้วจะเหมือนเป๊ะขนาดนั้น (สนใจกด >> รับทำ SEO)

ทำไมถึงเกิด Duplicate Content?

การที่มีบทความซ้ำบนเว็บไซต์ทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นจาก 3 กรณีนี้

  1. คุณเขียนบทความลงเว็บไซต์ของตัวเอง แล้วไปโพสต์บนเว็บอื่นๆ อย่าง Medium หรือ pantip ด้วยเนื้อหาเดียวกัน หรือคล้ายกัน
  2. คุณไม่ได้ตั้งใจ คุณจะเขียนเนื้อบนเว็บไซต์ที่เดียวนี่แหละ แต่บนเว็บคุณมีฟีเจอร์บางอย่างที่ทำให้เกิด URL ของ Post สร้างมามากกว่า 1 ชุด เช่น การเข้าถึงเนื้อหาด้วย URL ที่ มีหรือไม่มี www หรือ http/https ซึ่งทุก URL ก็จะมีเนื้อหาเหมือนกันเป๊ะๆ ถือว่า Duplicate
  3. อีกหนึ่งกรณีคือเว็บไซต์อื่นคัดลอกเนื้อหาของเราไป ซึ่งตรงนี้ส่วนใหญ่เราจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเว็บไซต์เราจะถูกมองว่าเป็นต้นฉบับอยู่แล้ว (ขยายความในเนื้อหาถัดไป)

สาเหตุของการเกิด Duplicate Content?

  • 1. บนเว็บไซต์เดียวกัน

Internal Duplicate Content คือ คอนเทนต์ที่ซ้ำกันภายในเว็บไซต์ของคุณเอง ซึ่งเกิดจากการนำเอาคอนเทนต์เก่าในเว็บไซต์ของคุณเองมาใช้ซ้ำโดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ในบางกรณีการใช้คอนเทนต์ที่เคยเผยแพร่ไปแล้วเช่นอีเวนต์หรือข่าวสารที่เกิดขึ้นเป็นประจำก็ดูจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ยังแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงที่จะใช้มัน

URL มีหรือไม่มี www

เนื่องจากในบางเซิร์ฟเวอร์มีการกำหนดให้แสดงเนื้อหาคอนเทนต์เดียวกัน บนหน้าเว็บที่มีรูปแบบ URL ต่างกัน อย่างเช่น ‘http’ กับ ‘https’ หรือ ‘www’ กับ ‘ไม่มี www’ จึงทำให้เกิด Duplicate Content ได้เช่นกัน

ตัวอย่าง

  • http://example.com/
  • https://example.com/
  • http://www.example.com/
  • https://www.example.com/

มีการทำ Pretty URL

เมื่อมีการสร้างหน้าเว็บขึ้นและมีการเปลี่ยน URL ให้สวยงาม (Pretty URL) แต่ไม่ได้ ทำ 301 Redirect เพื่อเปลี่ยน URL ดั้งเดิม ไปยัง URL ใหม่ ทำให้สามารถเข้าได้ทั้ง 2 URL จึงทำให้เกิด Duplicate Content ขึ้นมา

ตัวอย่าง

  • URL เดิม: www.example.com/about-us.php
  • URL ใหม่: www.example.com/about-us

มีการใช้ URL Parameter

การใส่ Parameter ใน URL เช่น การทำ Tracking คนใช้งานบนเว็บไซต์ รวมถึง Session ID ทำให้เกิด Duplicate Content ได้เช่นกัน

ตัวอย่าง

  • www.example.com/category/product/
  • www.example.com/category/product/?utm_source=facebook…

(สนใจกด >> รับสอน SEO)

  • 2. บนเว็บไซต์ที่ต่างกัน

External Duplicate Content คือ คอนเทนต์ที่ถูกนำไปใช้ในเว็บไซต์ต่างๆ หลายต่อหลายเว็บไซต์ คุณอาจสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ความจริงแล้วคือเราต่างก็หยิบยืมเนื้อหาจากกันและกันบ้างบางส่วนหรือแม้แต่การคัดลอกมาทั้งเว็บไซต์เลยก็มี

การรีโพสต์เนื้อหาทั้งหมด

เจ้าของเว็บบางคนอาจคัดลอกคอนเทนต์ในเว็บไซต์ตัวเองแล้วไปรีโพสต์ในแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อกระจายข้อมูล นี่คือการ Duplicate Content ที่หลายคนอาจไม่ได้ตั้งใจ ฉะนั้นหากต้องการโปรโมทอะไรก็ตาม ต้องนำเนื้อหาที่มีมาแก้ไขใหม่ก่อนโพสเสมอ

การคัดลอกคอนเทนต์

หากใครเคยเสิร์ชหาข้อมูลจากหลาย ๆ เว็บแล้วเจอเนื้อหาเหมือนกันอย่างกับแกะไหม นี่คืออีกหนึ่งสาเหตุของ Duplicate Content ซึ่งเกิดได้ทั้งกรณีเราไปก๊อปเขาและเขามาก๊อปเรา

การใช้ข้อมูลสินค้าหรือเนื้อหาข่าวจากแหล่งเดียวกัน

เป็นอีกปัญหาที่หลายคนคาดไม่ถึงแต่พบเจอได้บ่อย โดยเฉพาะเว็บ E-Commerce ที่ขายสินค้ารุ่นเดียวกัน ทำให้ข้อมูลสินค้าในแต่ละเว็บไซต์เหมือนกัน รวมถึงข่าวประชาสัมพันธ์ที่ได้ข้อมูลมาจากแหล่งเดียวกัน

ผลกระทบของการมี Duplicate Content

การที่เว็บไซต์มีเนื้อหาซ้ำกันบนโลกอินเตอร์เน็ตถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี และแน่นอนว่า Google ก็มองแบบนี้ ทำให้ถูกมองว่าเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำ เพราะการแสดงเนื้อหาที่ซ้ำกันในหน้าเดียวกันของ Google นั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ (คิดง่ายๆ ว่า Google สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนอะไร ให้ลองคิดในมุมของผู้ใช้ ว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์ต่อผู้ใช้หรือไม่)

Duplicate content ส่งผลเสียต่อการทำSEO อย่างไรบ้าง

1. อันดับบนหน้า Google ลดลง

เนื่องจาก Google จะมองเว็บไซต์ที่มีแต่เนื้อหาซ้ำ ๆ เป็นเว็บไซต์นั้นไม่มีคุณภาพ ซึ่งส่งผลเสียต่อการทำ SEO เป็นอย่างมาก มีโอกาสทำให้อันดับของหน้าเว็บต่ำลงได้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เกิดปัญหานี้แค่เฉพาะหน้าที่เป็น Duplicate Content เท่านั้น แต่อาจส่งผลถึงคุณภาพของเว็บไซต์โดยรวมอีกด้วย

เมื่ออันดับลดลง Organic Traffic หรือผู้เข้าเยี่ยมชมจากการค้นหาก็ย่อมจะน้อยลงตามด้วย เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่น่าหนักใจอย่างมากสำหรับธุรกิจที่มีรายได้หลักมาจากช่องทางนี้

2. Google ไม่ Index หน้าเว็บ

โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีจำนวนหน้าเยอะ ๆ และมีเนื้อหาซ้ำกัน เนื่องจาก Google ไม่อยากเสียทรัพยากรในการ Index หน้าเว็บที่มีเนื้อหาไม่ต่างกัน นอกจากนี้ Google ก็ไม่ต้องการแสดงหน้าเว็บที่ไปก็อปปี้เนื้อหาจากที่อื่นในผลการค้นหา เพราะว่าบางครั้ง Google เองก็ไม่รู้ว่า URL อันไหนคือต้นฉบับที่แท้จริงหรืออันไหนคือคอนเทนต์ที่คัดลอก

รวมถึงไม่รู้ว่าหน้าไหนเป็นหน้าเว็บหลักหรือเป็นหน้าเว็บที่ซ้ำกัน จึงทำให้มีปัญหาในการจัดอันดับเว็บไซต์ Google จึงเลือกที่จะปฎิเสธการ Index ไปเลยก็มี หมายความว่าถ้า Google ไม่ Index หน้าเว็บนั้นก็จะไม่ติดอันดับบนผลการค้นหาอย่างแน่นอน

3. หน้าเว็บถูกซ่อนจากผลการค้นหา

มีโอกาสที่ Google อาจ Index หน้าเว็บที่เป็น Duplicate Content ได้ ซึ่งหลายคนก็อาจจะเคยเจอเวลาค้นหาแล้วเจอหน้าเว็บที่มีข้อมูลซ้ำๆกันบ้าง แต่บางครั้ง Google ก็อาจจะเลือกแสดงผลแค่บางเว็บไซต์เท่านั้น

ส่วนหน้าเว็บอื่นๆ ที่มีเนื้อหาซ้ำกันที่เหลือก็จะถูกซ่อนไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการค้นหา ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้งาน นั่นหมายความว่าหากหน้าเว็บโดนซ่อนไว้ในผลการค้นหา โอกาสที่จะมีคนค้นเจอหน้าเว็บก็น้อยลงไปอีกด้วย

ถ้ามีเนื้อหาที่ซ้ำกัน แล้วเว็บไหนจะถูกมองว่าลอกมา?

ตอนที่เรา Publish เนื้อหาออกไปแล้ว Google จะมาเก็บ Index ที่เนื้อหาเราแทบจะทันที ถ้าเราเป็นต้นฉบับขอให้มั่นใจว่าเว็บไซต์เราจะไม่ถูกลดคะแนน SEO ลงอย่างแน่นอน แต่ให้ระวังเรื่องของการลงข่าว PR ที่นำเนื้อหาจากเอกสารมาลงเหมือนกันเป๊ะในหลายเว็บ

แต่ถ้าหาก Duplicate Content เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ของเราเอง เป็นไปได้ว่า Google จะมา Index ใน URL ที่เราไม่ต้องการ แทนที่จะมา Index ใน URL หลักก่อน ในส่วนนี้ค่อนข้างอันตราย รวมไปถึงการมีเนื้อหาที่ซ้ำกันในเว็บเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี

วิธีตรวจสอบ Duplicate Content

สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่า ตอนนี้เว็บไซต์ของคุณมี Duplicate Content อยู่บ้างหรือเปล่า เรามีวิธีการตรวจสอบ Duplicate Content มาฝาก ลองนำไปใช้งานดูได้เลยนะ (สนใจกด >> รับดูแลเว็บไซต์ wordpress)

1. ตรวจสอบการ Indexed Pages

วิธีการที่ง่ายที่สุดในการค้นหา Duplicate Content คือ การดูจำนวนหน้าเว็บไซต์ที่ถูก Google ทำการจัดทำดัชนี (Index) โดยการเข้า Google แล้วพิมพ์ว่า site: ตามด้วยชื่อเว็บไซต์ เช่น site:example.com หลังจากนั้นให้ทำการกดค้นหา ก็จะมีหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดของเว็บปรากฏขึ้น

หลังจากนั้นให้เข้าไปตรวจสอบใน Google Search Console ว่ามีจำนวนการ Index หน้าอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งจำนวนนี้ควรสอดคล้องกันกับผลลัพธ์ หน้ามีจำนวนที่เกินขึ้นมามากๆ แสดงว่าเกิด Duplicate Content ขึ้นแล้ว

2. ตรวจสอบ URL Inspection

วิธีการตรวจสอบ Duplicate Content อีกหนึ่งวิธีที่ง่ายเช่นกัน ให้เข้าไปที่ Google Search Console แล้วนำ URL พิมพ์ลงไปในช่องค้นหา หลังจากนั้นจะมีหน้า URL Inspection ขึ้นมา คุณสามารถดูได้ว่ามีการ Duplicate Content หรือไม่ รวมถึงยังใช้เพื่อตรวจสอบ Meta Title, Description และ H1 ในรายงานแท็ก HTML อีกด้วย

3. ตรวจสอบการคัดลอกเนื้อหาข้ามเว็บไซต์

หากคุณสงสัยว่าเว็บไซต์ของคุณถูก Copy เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ไปบ้างหรือเปล่าสามารถทำการตรวจสอบได้ง่ายๆ ดังนี้

หากเป็นเว็บไซต์ที่มีจำนวนหน้าไม่มากให้นำประโยคบนหน้าเว็บไซต์ใส่เข้าไปในเครื่องหมาย “…” แล้วทำการพิมพ์ลงไปในหน้า Google แบบนี้จะช่วยทำให้ปรากฏผลการค้นหาของหน้าเว็บไซต์ที่มีประโยคเดียวกันขึ้นมา

ใส่เครื่องหมายช่วยทำให้ผลการค้นหาของหน้าเว็บไซต์ที่มีประโยคเดียวกันขึ้นมา
แต่ถ้าทำการกดค้นหาแล้วไม่มีใครที่ทำการ Copy เนื้อหาบนเว็บไซต์ไปก็จะทำการขึ้นผลลัพธ์มาแค่ลิงก์เดียว

เครื่องมือช่วยตรวจจับ Duplicate Content สำหรับ SEO

คุณสามารถที่จะใช้เครื่องมือดังต่อไปนี้เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้มี Duplicate Content เมื่อทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ

  1. Siteliner
  2. Copyscape

ส่วนเว็บไซต์ไหนที่มีหน้าจำนวนมากสามารถใช้ Tool เป็นตัวช่วยได้ ทำให้ค้นหาเว็บไซต์ที่ทำการ Copy เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายมากขึ้น

วิธีแก้ไขหากพบว่ามี Duplicate Content

1. สร้าง Canonical Tag

ในกรณีที่มีเนื้อหาซ้ำๆ หรือคล้ายๆ กันในหลายบทความ สามารถใส่ URL ของหน้าคอนเทนต์หลักใน Canonical Tag (rel=”canonical) ในหน้าที่มี Duplicate Content เพื่อแจ้ง Google ว่าหน้าเว็บไหนที่เป็นหน้าที่เราต้องการให้ Index

กรณีที่พบว่าเว็บไซต์เรามี Duplicate Content ในเว็บของเราเอง อันนี้ต้องสะกิดฝั่งผู้ดูแลเว็บไซต์ให้เขียนโปรแกรมเพื่อใส่ Canonical Tag ลงในหน้าที่ไม่ใช่หน้าหลัก เพื่อ “ชี้” ไปยังหน้าที่เราต้องการให้ Google เก็บ Index จริงๆ

วิธีใช้ Plugin Yoast SEO ของ WordPress ทำ Canonical tag

  1. กดแก้ไขหน้า page/post (edit page/post)
  2. เลื่อนลงไปด้านล่าง จะพบ Yoast plugin ให้หาหัวข้อ advance
  3. กด drop down จะพบหัวข้อ canonical url
  4. ให้ใส่ URL หน้าที่ต้องการให้เป็นหน้าหลัก

2. ทำ 301 Redirect

ในกรณีที่มี Duplicate Content ซึ่งเกิดจากการที่หน้าเว็บสามารถเข้าถึงได้หลาย URL ให้ทำ 301 Redirect จากหน้าที่ซ้ำกันไปยังหน้าคอนเทนต์หลัก เพื่อไม่ให้ URL แต่ละอันมาแข่งขันกันเอง อีกทั้งยังช่วยให้หน้าหลักมี Traffic เยอะขึ้นกว่าเดิม ซึ่งส่งผลให้อันดับบน Google ดีขึ้นอีกด้วย (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)

3. ตรวจสอบคอนเทนต์

ในกรณีที่จ้างคนอื่นทำคอนเทนต์ให้ ควรตรวจสอบคอนเทนต์ก่อนโพสลงเว็บไซต์โดยใช้เครื่องมือ Plagiarism Checker เพื่อป้องกันปัญหานักเขียนคัดลอกคอนเทนต์มาจากเว็บไซต์อื่น โดยไม่ได้กรองหรือเขียนขึ้นใหม่ในภาษาและรูปแบบของตัวเอง

4. ปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ให้เป็น Original Content เสมอ

หากต้องการนำคอนเทนต์ไปเผยแพร่ในช่องทางอื่นก็ควรที่จะทำการปรับเปลี่ยนเนื้อหาคอนเทนต์ให้มีความเป็น Original Content หรือการทำคอนเทนต์ขึ้นใหม่แบบไม่ซ้ำกับใคร แล้วจึงค่อยส่ง Backlink กลับมาให้เว็บไซต์ เพื่อป้องกันการเกิด Duplicate Content ที่จะตามมา

5. แจ้งปัญหาไปยัง Google

ในกรณีที่เว็บไซต์อื่นมาคัดลอกคอนเทนต์เราไปลงในเว็บไซต์ของเขาเอง สามารถแจ้งได้ที่ การลบเนื้อหาออกจาก Google หากพบปัญหา Duplicate Content แต่ทางที่ดีควรพูดคุยกับเจ้าของเว็บฝั่งนั้นเพื่อให้แก้ไขก่อนที่จะส่งเรื่องไปที่ Google เพราะจะมีผลถึงกฎหมายลิขสิทธิ์ (DMCA)

ในทางกลับกัน หากเราเป็นคนที่คัดลอกคอนเทนต์มาแทน อีกฝ่ายก็สามารถส่งเรื่องให้ Google ได้เช่น ซึ่งหาก Google ได้ลบเนื้อหาออก ก็เท่ากับว่าคอนเทนต์นั้นของเราจะถูกแบนออกจากผลการค้นหาไปเลย ความพยายามที่ทำให้หน้าเว็บนั้นติดอันดับ SEO ก็จะหายวับไปทันที

กรณีที่เราโดนเว็บไซต์อื่นคัดลอกเนื้อหาไปแล้ว แล้ว Google ดันไปมองว่าเว็บที่คัดลอกไปเป็นต้นฉบับ ในส่วนนี้เราสามารถแจ้ง Google เพื่อให้เค้าดำเนินการให้ได้ที่ : google.com/webmasters/tools/dmca-notice (อาจใช้เวลานาน)

อ้างอิง : support.google.com

ข้อผิดพลาดของการใช้ Duplicate Content ที่มักพบเห็นได้ทั่วไป

เราจะมาพูดถึงสองข้อผิดพลาดที่มักพบเห็นได้ทั่วไปของการใช้ Duplicate Content สั้น ๆ ดังนี้ (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ wordpress)

  1. ข้อมูลผลิตภัณฑ์ – ในกรณีที่คุณมีร้านค้าออนไลน์และมีการขายสินค้าที่ไม่ใช่แบรนด์ของคุณเอง ซึ่งก็มีโอกาสว่าจะมีผู้ขายรายอื่น ๆ อีก และผู้ขายทั้งหมดก็คงจะได้รับข้อมูลผลิตภัณฑ์เดียวกัน เราแนะนำว่าคุณควรที่จะเขียนข้อมูลผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเองเพื่อสร้างความโดดเด่นและแตกต่าง ในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงการใช้ Duplicate Content อีกด้วย
  2. เกี่ยวกับเรา – เว็บไซต์หลายเว็บไซต์มักที่จะมีหน้าต่าง ๆ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือธุรกิจเช่นหน้า ‘เกี่ยวกับเรา’ ‘เราคือใคร’ หรือ ‘ติดต่อเรา’ การนำเอาเนื้อหาหรือประโยคเด็ดจากหน้าใดหน้าหนึ่งมาใช้ซ้ำในอีกหน้าหนึ่งอาจเป็นเรื่องที่เย้ายวนใจ แต่เป็นสิ่งที่คุณควรจะหลีกเลี่ยงเนื่องจากว่าเป็นการก่อให้เกิด Internal Duplicate Content และจะส่งผลเสียต่อการทำ SEO รวมไปถึงธุรกิจของคุณ

Original Content คืออะไร

Original Content คือ การสร้างสรรค์ Content ขึ้นมาโดยคอนเทนต์นั้นจะไม่ซ้ำหรือเหมือนกับเจ้าอื่นๆ ในตลาด หรือเรียกได้ว่าเป็นคอนเทนต์แนว “ต้นฉบับ” เลยก็ว่าได้

ท่านใด ที่เคยเจอบทความแนวๆ ว่า รีวิว ถอดบทเรียน วิเคราะห์ ประสบการณ์จริง ประมาณนี้ไหม นั่นแหละคือตัวอย่างของบทความแนว Original Content ที่เกิดจากการวิเคราะห์และเรียบเรียงขึ้นมาเองของผู้เขียน ไม่ได้เป็นการเอามาจาก Refference อื่นๆ

การทำบทความ Original Content เพื่อมาช่วยเรื่อง SEO

นอกจากประโยชน์ในการสร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่งแล้ว ในมุมของการทำ SEO Original Content ก็สามารถเข้ามาทำให้ Ranking ของเว็บไซต์ของคุณดีขึ้นได้เช่นกันครับ

เพราะหากคุณเลือกเขียนคอนเทนต์ที่มาจากการคิดค้นของตัวคุณเอง ที่มีความแตกต่างจากเจ้าอื่นๆ ใน Search Engines ทาง Google ก็จะเลือกให้คะแนนเว็บไซต์คุณเยอะ จนสามารถไปติดอันดับต้นๆ ของหน้าการค้นหาได้ (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับ Keyword และการทำ SEO โดยรวมของคุณด้วยนะ)

เทคนิคการสร้างบทความ Original Content อย่างมีคุณภาพ

เรียนรู้เทคนิคในการเริ่มสร้าง Original Blog Content บนเว็บไซต์อย่างมีคุณภาพ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับการทำคอนเทนต์และสร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง แต่จะมีเทคนิคไหนบ้าง

เทคนิคที่ 1 : Identify Trends

ในปัจจุบันเราจะสังเกตุได้เลยว่า Original Blog Content ที่ได้รับความนิยมนั้น จะเลือกใช้กระแส Real-Time เป็นหลัก หรือก็คือการเอากระแสที่กำลังเป็นที่พูดถึงในปัจจุบันมาเป็นเนื้อหาของคอนเทนต์

อาจจะเลือกใช้สื่อ Social Media ทั่วไปอย่าง Facebook , Twitter ในการดูว่าตอนนั้นอะไรกำลังเป็นเทรนด์ นอกจากเรื่องของการดูว่าสิ่งใดที่กำลังเป็นเทรนด์ในตอนนี้แล้ว คุณจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือช่วยในการดูค่า Score ต่างๆ เช่นความยากง่ายในการทำอันดับบนหน้า SERP , จำนวน Engagement ของเทรนด์ต่างๆ

ซึ่งเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการ Identify Trends ในขั้นตอนแรกก็คงหนีไม่พ้นเครื่องมือเจ้าประจำอย่าง Quora , Buzzumo ในการช่วยคุณหาไอเดียเพื่อการสร้างสรรค์ Content เพียงใส่ Keyword ที่คุณต้องการลงไปเท่านั้น

เทคนิคที่ 2 : Content Tranformation

หากเว็บไซต์หรือธุรกิจของคุณ อาจจะไม่เหมาะกับการนำกระแสมาเขียนคอนเทนต์อย่างในเทคนิคแรก การใช้เทคนิค Content Tranformation จะเข้ามาช่วยเว็บไซต์คุณได้

Content Tranformation ก็คือการนำเอาตัวอย่างจากเว็บไซต์ที่เป็นต้นฉบับจากต่างประเทศ มาแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็ไม่ใช่ว่าแปลด้วย Google Translate แล้วก็นำมาแปะนะ

การ Tranformation ในที่นี้ก็คือการเพิ่มคุณค่าให้เหมาะสมกับ Character ของการทำคอนเทนต์ของธุรกิจคุณมากที่สุด ตรงไหนที่คิดว่าไม่น่าจะตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายของคุณเท่าไร ก็สามารถตัดออกหรือแก้ไข หรือหาต้นฉบับมาจากหลายๆ เว็บไซต์ แล้วค่อยนำมาสรุปใจความ ให้กลายเป็นคอนเทนต์คุณภาพ

เทคนิคที่ 3 : Ask your Audience (ถามกลุ่มเป้าหมายเลยว่าต้องการอะไร)

หากคุณยังมีความกังวลว่า กลัวทำคอนเทนต์แล้วไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย ทางแก้ง่ายๆ แค่ถามพวกเขาไปเลยว่าต้องการอะไร ?

ในกรณีที่ธุรกิจคุณมี Social Media หรือช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้าอยู่แล้ว อย่าปล่อยไว้ให้เสียเปล่า คุณสามารถใช้ช่องทางเหล่านั้นในการสอบถามถึงคอนเทนต์ที่พวกเขาต้องการที่สุด (สนใจกด >> รับทำเว็บไซต์ E-Commerce)

เทคนิคที่ 4 : สร้างสรรค์ Original Blog Content ด้วยเรื่องราว , ประสบการณ์ของคุณเอง

บางครั้งบทความที่มีคนกดเข้าไปอ่านเยอะ อาจไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นบทความแนวการสอน หรือความรู้เท่าไรนะ บางทีการที่คุณหยิบเรื่องราวหรือประสบการณ์จากตัวคุณเองมาสร้างเป็นบทความ อาจทำให้ผู้อ่านเห็นภาพตามและเกิดอารมณ์ร่วมได้ดีกว่า

  • คุณเรียนรู้อะไรบ้างในเวลานั้น? (เล่าถึงอดีตของคุณ)
  • มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างตั้งแต่คุณเริ่ม (เล่าถึงปัจจุบันของคุณ)
  • หากคุณต้องย้อนกลับไปและให้คำแนะนำกับตัวเองเมื่อเริ่มอาชีพของคุณ มันจะเป็นอย่างไร?

เทคนิคที่ 5 : โฟกัสที่ชื่อบทความ (Headline) ที่มอบ Benefits ให้ Audience

“80% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะเลือกอ่านแค่ Headline ของบทความ และมีเพียง 20% เท่านั้นที่จะกดเข้าไปอ่านบทความของคุณ” – Neil Patel
ต่อให้คุณมีการสร้างสรรค์ Original Blog Content ที่มีเนื้อหาข้างในที่น่าสนใจเพียงใด แต่ถ้าชื่อเรื่องหรือ Headline มันดูไม่มีความดึงดูดเลย แล้วแบบนี้จะมีใครกดเข้ามาอ่าน

ทางแก้ไขของคุณก็คือการตั้งชื่อเรื่องให้น่าสนใจเท่านั้น เพื่อเปลี่ยนเอา 80% นั้นให้ตัดสินใจ “กด” เข้ามาอ่านให้ได้ ซึ่งในการคิดชื่อ Headline ของบทความให้ดึงดูดนั้นก็มีด้วยกันหลายวิธีนะ ทั้งในด้านของ SEO และ Traffic & Engagement

  • อย่างในฝั่ง SEO คุณอาจจะต้องลองหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับบทความ และนำมาใส่ใน Headline รวมไปถึง Meta Tags และ Description ต่างๆ เพื่อให้ได้คะแนน SEO รวมไปถึงอันดับในการแสดงผลของ Google ที่ดีขึ้น
  • แต่ในฝั่งของ Traffic & Engagement (ในกรณีที่ไม่สนใจ SEO) ก็จะแตกต่างตรงที่คุณต้องตั้งชื่อ Headline ให้ดึงดูด Audience ที่สุดโดยมุ่งเน้นไปที่ “Benefits” ที่พวกเขาจะได้รับ จะเป็นการกระตุ้นความรู้สึกของผู้อ่านได้ดี

สำหรับใครที่อยากได้เครื่องมือสำหรับการ Generate Topic Blog เราขอแนะนำเครื่องมือที่ชื่อว่า Blog Title Generator โดยการใช้งานก็ง่ายๆ ครับแค่เพียงคุณใส่ Keyword ที่ต้องการแล้วเลือก Category ของ Content ระบบก็จะคิด Headline ที่เหมาะสมกับบทความของคุณให้เลือกได้เลย

เทคนิคที่ 6 : Recap & Combine Content

เทคนิคสุดท้ายที่เราอยากพูดถึงก็คือเทคนิค Recap&Combine Content หรือก็คือการรวมเอาคอนเทนต์หลายๆ อย่างมาอยู่ในบทความเดียวกัน เพื่อสร้าง New Value หรือคุณค่าใหม่ๆ ให้กับคอนเทนต์

 

สรุป

คอนเทนต์เป็นสิ่งที่สำคัญในการทำ SEO (Search Engine Optimization) เคยไหมที่พยายามเพิ่มคอนเทนต์เพื่อให้หน้าเว็บติดอันดับแรก ๆ บน Google แต่ไม่ว่าจะเพิ่มไปมากแค่ไหนก็ไม่สำเร็จสักที สาเหตุหนึ่งอาจมาจาก Duplicate Content ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้อันดับเว็บไซต์ต่ำลงหรืออาจจะไม่ติดอันดับเลยก็ได้

  • อันดับบนหน้า Google ลดลง หรือหาหน้าเว็บไม่เจอใน Google เป็นผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจาก Duplicate Content หรือคอนเทนต์ที่ซ้ำกัน ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำ SEO ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง
  • Duplicate Content อาจเกิดขึ้นได้ทั้งแบบตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ รวมทั้งเกิดขึ้นทั้งในเว็บไซต์ของเราเองและเว็บไซต์อื่น ๆ จึงควรตรวจสอบหาสาเหตุและหาวิธีแก้ไขต่อไป

ซึ่งบทความนี้เราได้แนะนำวิธีการทำ Original content มาแก้ปัญหาให้ท่านได้แล้ว ขอให้ท่านสบายใจได้ Original content คือหนึ่งในหัวใจของเว็บคุณภาพ

ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ Google ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์คุณภาพเป็นอย่างมาก กล่าวคือคอนเทนต์ที่มีคุณลักษณะต่อไปนี้

  • Rich : ไม่ใช่ว่าต้องรวยหรือทำมาแพงนะ แต่ Rich หมายถึงความอุดมสมบูรณ์หลากหลาย มีทั้งข้อความ ภาพ วีดีโอ เป็นต้น
  • Unique (Original) : คอนเทนต์ที่ไม่เหมือนใคร หรือเป็นต้นฉบับ
  • Relevant : เนื้อหาสอดคล้องกับคีย์เวิร์ด
  • Informative : ให้ข้อมูลละเอียด (ความยาวก็เป็นหนึ่งในปัจจัย)
  • Remarkable : หมายถึงมีสัญญาณทางโซเชียลที่ดี ได้รับผลตอบรับดี เป็นที่สนใจ

ถ้าพบคอนเทนต์ที่มีคุณสมบัติแบบนี้ก็จะอยากเก็บไว้ในลิสต์ คำแนะนำคือ ถ้าอยากได้รับ Rank ที่ดีในระยะยาว ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นก็ควรเริ่มด้วย Original คอนเทนต์เอาไว้มากๆ

หากเรารู้จักการ Add value ลงไป แม้จะไม่ใช่ Original content 100% แต่ก็สามารถเพิ่มคุณค่าได้ ถ้าใส่ส่วนผสมอื่นๆ เช่น เพิ่มความ Unique, เพิ่มความ Informative, เพิ่มความ Rich เป็นต้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!