Conversion rate คืออะไร มีเทคนิควิธีการoptimizeเพิ่มค่า CR ได้อย่างไร

สอนวิธีการคำนวณ conversion rate (CR) อธิบายประโยชน์ของ CR พร้อมโปรแกรมเครื่องมือ(tool)ที่ทำให้ UX ดีขึ้น ส่งผลให้การทำ Conversion Rate Optimization (CRO) ดีขึ้น หลีกเลี่ยงเหตุผลที่ลดค่าCR เรามาเพิ่มค่า conversion ให้สูงขึ้นกันเถอะ

การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงมาก ดังนั้นถ้ามีเครื่องมือที่ช่วยวัดผลลัพธ์ว่าโฆษณา หรือการตลาดที่เราทำนั้นได้ผลหรือไม่ก็จะช่วยให้วางแผนพัฒนาการตลาดต่อไปได้ดียิ่งขึ้น ซึ่ง Conversion (CV) เป็นตัวช่วยอย่างมากสำหรับการตลาดออนไลน์ (สนใจกด >> รับทำ SEO)

Conversion (CV) คืออะไร?

Conversion (CV) คือ กิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงในการวัดค่า หรือ การตอบสนองที่กลุ่มเป้าหมายตอบสนองต่อการเข้ามาชมเว็บหรือsocial media เช่นการกดถูกใจโพสต์ การแชร์โพสต์ การสมัครสมาชิก การส่งอีเมล์หา การกดโทรมาหา การกดสั่งซื้อ

หรือถ้าเป็นการทำ Google Ads จะมี Conversion(ตัววัดผลลัพธ์โฆษณา) หลังจากเข้ามาเว็บไซต์ เช่น กดโทรหา กดสั่งซื้อสินค้าและบริการ โดยเราวัดผลได้จากการติด Tracking Code ของ Google ในเว็บไซต์ของเรา

Conversion Rate (CR) คืออะไร?

Conversion Rate (CR) คือ สัดส่วนของผู้ที่ทำการตอบสนองต่อกิจกรรมในโฆษณาหรือภายในเว็บไซต์ ต่อการเข้ามาชมจริงหรือคลิกเข้าเว็บไซต์ โดยอาจจะเป็นยอดผู้ซื้อจริง ขึ้นกับการกำหนดค่า เพราะธุรกิจแต่ละแบบมีเป้าหมายการกระทำไม่เหมือนกัน กับจำนวนคนทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยมักคำนวณเป็นเปอร์เซนต์

สูตรการคำนวณ (%) Conversion Rate = (Conversion / Clicks ) x 100

ยกตัวอย่างเช่น

  • มีผู้เข้าชมเว็บ 100 คน มีคนสมัครสมาชิก 30 คน CVR คือ 30% (30×100/100)
  • มีคนคลิกโฆษณา Google Ads 100 ครั้ง มีคนสั่งซื้อสินค้า 40 รายการ CVR คือ 40% (40×100/100)
  • มีคนเห็นโพสต์บน Facebook 100 คน มีคนกดไลค์ 23 คน CVR คือ 23% (23×100/100)
  • มีลูกค้าเข้าร้านเรา 100 คน มีคนซื้อสินค้า 54 คน CVR คือ 54% (54×100/100)

คอนเวอร์ชั่นในการยิงแอดออนไลน์ หรือ การทำSEO

Conversion คือ ผลของกิจกรรมที่ผู้ชมเข้ามาในเว็บไซต์ของเรา ที่อาจทำให้เกิดมูลค่า(มี value) เช่น การสมัครสมาชิก การสั่งซื้อ การกดปุ่มติดต่อ ฯลฯ โดยเราเป็นคนกำหนดกิจกรรมนั้นได้เอง โดยติดตามผ่าน Conversion Tracking ที่ได้ติดตั้งไว้บนเว็บไซต์

โดยแต่ละกิจการจะมี Conversion ที่ไม่เหมือนกัน เช่น (สนใจกด >> รับสอน SEO)

  • Purchase : การสั่งซื้อ
  • Leads : ลูกค้าใหม่
  • Sign up : สมัครสมาชิก
  • Call : การโทร
  • Submit form : การลงทะเบียนกรอกฟอร์ม
  • Forms Completions หรือ การกรอกแบบฟอร์มเพื่อเก็บข้อมูลที่ต้องการจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น ฟอร์มติดต่อเรา, ฟอร์มรับอีเมล์ข่าวสาร, ฟอร์มรับเอกสาร (เพื่อนำไปทำโฆษณาต่อ)
  • พูดคุยกับเราทางแชท
  • สมัครบริการต่างๆ ฟรีผ่านทางฟอร์ม
  • ดาวน์โหลดอะไรสักอย่าง เช่น ไฟล์ภาพ, pdf, e-books, software ฯลฯ
  • อัพเกรดบริการ
  • Email Signups หรือ การลงทะเบียนสมัครรับข้อมูลข่าวสารทางอีเมล์
  • App Download หรือ การดาวน์โหลดแอพลิเคชั่น

จุดประสงค์หลักของของ Conversion คือ การเปลี่ยนคอนเวอร์ชั่นให้กลายมาเป็นลูกค้าจริง ซึ่งก็คือการ order หรือสั่งซื้อสินค้า โดยการติด tracking ไม่จำเป็นต้องติดแค่ order เพราะกิจกรรมอื่นๆของ user ก็อาจนำมาซึ่งการเป็นลูกค้าได้เพราะ Conversion ต่างๆแสดงถึงความสนใจของผู้ชม

Conversion แบ่งออกเป็นกี่ประเภท

คอนเวอร์ชั่น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. Conversion หลัก หรือ Macro Conversion  

จะเป็น Conversion ที่สำคัญสุดที่เราต้องสนใจ เช่น ยอดสั่งซื้อสินค้า จากเว็บ E-commerce ของคุณ

2. Conversion เสริม หรือ Micro Conversion

มีผลทางอ้อมต่อการเกิด Conversion หลัก เช่น การสมัครสมาชิกเพื่อรับส่วนลดพิเศษ ของเว็บอีคอมเมิร์ซของคุณ (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)

โดยจำนวนสมาชิกที่ได้ คือ Conversion เสริม โดยการส่งเสริมโปรโมชั่นทางอีเมล์จะช่วยให้เกิด CV หลัก

โดยการวัดพฤติกรรมรายละเอียดของ CV เสริมจะทำให้เข้าใจลูกค้าได้มากกว่า ซึ่งก็จะช่วยให้เราพัฒนาแผนต่างๆเพื่อการทำการตลาดในอนาคตได้

ทำไม Conversion ถึงสำคัญกับธุรกิจออนไลน์ ?

ประโยชน์ของ Conversion ที่สำคัญต่อธุรกิจของเรามีหลายข้อ เช่น

1. สนับสนุนการทำ SEO

Conversion Rate คือ สิ่งที่ช่วยสนับสนุนการทำ SEO เพราะหากมีคนเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณแล้วทำปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการกดถูกใจ กดแชร์ หรือกดสั่งซื้อสินค้า ก็จะทำให้ทาง Search Engine มองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพ และจะให้คะแนนกับทางเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้น จึงทำให้ Ranking ของคุณไต่อันดับสูงขึ้นตามไปด้วย

2. วัดผลธุรกิจว่าได้กำไรหรือไม่

การลงโฆษณา การทำเว็บไซต์  เราควรวัดผลได้ เพราะต้องมาคำนวณต้นทุนกำไรขาดทุน เพื่อนำไปปรับใช้ในอนาคต ซึ่งการทำให้เกิด CV เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ ส่วนมากกิจการจะวัดผลจากคำสั่งซื้อ การวัดCVจึงสำคัญมากว่าในที่สุดลูกค้าได้ตัดสินใจซื้อหรือเปล่า ขายได้เป็นจำนวนเท่าไหร่ เมื่อหักลบกับต้นทุนแล้วคุ้มหรือไม่นั่นเอง

3. รู้พฤติกรรมของลูกค้าบนออนไลน์

ปกติเว็บไซต์ควรติดตั้ง CV tracking หลายๆตัวเพิ่มให้เข้าใจพฤติกรรมการมาใช้เว็บของลูกค้า แต่ไม่ต้องถึงกับติดทุกขั้นตอน ทุกหน้า ทุกปุ่ม CTA ให้เลือกเฉพาะเหตุการณ์ที่สำคัญและมีประโยชน์ต่อกิจการ (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce)

ตัวอย่างเช่น : เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซให้คนมาลงทะเบียนเพื่อรอรับโปรโมชั่นดีๆ โดยอาจจะวัดผลเป็น

  • ผู้ชมที่เข้ามาดูผลิตภัณฑ์ชนิดนึง (Conversion : View Product)
  • ผู้ชมดูผลิตภัณฑ์แล้วกรอกแบบฟอร์มและส่งข้อมูล (Conversion : Lead / Complete Registration)

เราจะรู้จำนวนคนที่สนใจสินค้นและตัดสินใจซื้อถ้าเราติดตั้ง Conversion Tracking โดยดูจาก lead ทั้งหมดเพื่อนำข้อมูลนั้นมาปรับแผนการตลาดและปรับปรุงหน้าเพจนั้นๆต่อไป

4. เก็บข้อมูลลูกค้ามาทำโฆษณา Remarketing

เราสามารถติด track ให้กับการกระทำใดของลูกค้าที่สนใจเว็บเราได้ เช่น การคลิกเข้ามาดู การกดปุ่มโทรหา ปุ่มแอดไลน์ หรืออื่นๆ โดยเมื่อเราได้ข้อมูลเราสามารถนำตัว tracking นี้มาลงโฆษณา remarketing ในช่องทางต่างๆได้เช่น Google Ads , Facebook Ads และอื่นๆ (สนใจกด >> รับทำ Google Ads)

ตัวอย่างเพิ่มเติมข้อ3 :

เราทำ remarketing ให้คนเข้ามาชมสินค้าเราแต่ยังไม่กรอกแบบฟอร์ม ให้เค้ารับรู้ข้อมูลผ่านโฆษณาบ่อยๆ จะกระตุ้นให้เกิดความต้องการได้ดี 

ขั้นตอนการทำ Conversion Rate Optimization

Conversion Rate Optimization คือ วิธีการเพิ่ม CV ผ่านการทำหน้าเว็บไซต์ให้มีความน่าสนใจ มีประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บ รวมถึงพาดหัวที่น่าสนใจ และการวาง landing page ให้ตรงกับเนื้อหา 

ถ้าหน้าเว็บเราดีน่าเชื่อถือน่าสนใจ ข้อมูลตรงใจ ผู้ชมก็จะเชื่อมั่นในการให้ข้อมูลส่วนตัว สมัครสมาชิก สั่งสินค้า โดยวิธีการทำ CVO มีอยู่ 5 ขั้นตอน ดังนี้

1. การทำเก็บและรวบรวม (Research Phase)

เป็นขั้นตอนเริ่มต้นของทุกกระบวนการ เช่น วิจัย วิเคราะห์ เพื่อให้เราหาปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิด CV หรือไม่เกิด CV โดยเราต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคจาก DATa ที่เรามี โดยอาจจะดูจากเครื่องมือ google analytic และ Customer Journey ในแต่ละขั้น

2. การตั้งสมมติฐาน (Hypothesis Phase)

เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดเราก็สามารถคาดคะเนผลได้ เช่น อยากเพิ่มยอดสั่งสินค้าจากการจ้าง influencer หวังไว้ว่าได้ยอดเพิ่ม 10% เทียบกับจำนวนคนสอบถามเมื่อเดือนที่ผ่านมา (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress)

โดยการตั้งสมมติฐานนี้ขึ้นกับข้อมูลและประสบการณ์ ที่สำคัญตั้งตามความเป็นจริง

3. การจัดลำดับความสำคัญ (Prioritization Phase)

เรียงลำดับความสำคัญของปัญหาที่มีจากข้อมูลแล้วแก้ตามลำดับ ทั้งนี้ดูความเหมาะสมกับเวลาด้วย

4. การทดสอบ A/B Testing (Testing Phase)

เปรียบเทียบว่าการลงโฆษณาตัวไหนให้ CV มากกว่ากัน แล้วปรับปรุงไปเรื่อยๆ

5. การสรุปผลและเรียนรู้ (Learning Phase)

นำข้อมูลต่างๆมาเรียนรู้ร่วมกันแล้วบันทึกเอาไว้ใช้ภายหลัง ว่าแต่ละอย่างที่ทำมีผลอย่างไร

วิธีการเพิ่ม Conversion Rate(CR)

1. โฟกัสที่ Call To Action

เป็นการบอกผู้ชมเว็บว่าเค้าทำอะไนได้บ้างในหน้าเว็บนี้ โดยเราไม่ควรติดปุ่ม CTA ให้มากเกินไปเพราะจะเกิดการสับสนได้ทำให้ CV ลดลง ซึ่งหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้าควรมี CTA

  • หน้าเว็บที่มี CTA 1 อัน CVR 13.5%
  • หน้าเว็บที่มีมากกว่า 1 CTA มี CVR ลดลงเหลือ 11.9%

2. ทำ Mobile friendly

กูเกิ้ลให้ความสำคัญกับ Mobile Responsive website ถ้าไม่มีอันดับเว็บตก traffic ลด อีกทั้ง user ไม่ชอบเว็บที่ต้องมานั่งถ่างๆขยายๆจนปิดเว็บเรา ดังนั้นปรับเว็บให้รองรับมือถือ (สนใจกด >> รับดูแลเว็บไซต์ wordpress)

3. เพิ่ม speed เว็บไซต์

ท่านสามารถเข้าไปเช็ค Page speed ได้ที่ https://pagespeed.web.dev/

จากสถิติพบว่าความล่าช้าในการโหลดหน้าเว็บ 1 วินาที ส่งผลให้ Conversion ลดลง 7%

โดยมีหลายปัจจัยที่ทำให้เว็บโลหดช้า เช่น effect web เยอะ ภาพเยอะ ภาพใหญ่ วีดีโอเยอะ เป็นต้น

4. ข้อความ

คอนเทนต์ควรกระชับตรงประเด็นและน่าสนใจ ตัวอักษรใหญ่พอเหมาะ เว้นวรรคและเว้นบรรทัดสวยงามอ่านง่าย

5. เวลา

ให้กำหนดเวลาของโปรโมชั่น และจำนวนยอดสินค้าที่จะได้สิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น

6. การตอบกลับลูกค้า

ควรมีแอดมินตอบกลับลูกค้าได้รวดเร็ว(อาจติดตั้งระบบตอบกลับอัตโนมัติเพื่อขอข้อมูลลูกค้าไวก่อน) และมีช่องทางติดต่อให้ครบ เห็นชัดเจน

7. โฆษณา

ประเมินผลจากการลงโฆษณาในช่องทางต่างๆและวัดผลจากผู้ชมที่เพิ่มหรือยอดสั่งซื้อที่มากขึ้นถ้าไม่พอใจก็ปรับเปลี่ยน

8. การกรอกแบบฟอร์ม

ใช้แบบฟอร์มที่ถามคำถามง่ายๆสั้นๆแต่ตรงประเด็นเพื่อวิเคราะห์ความสนใจลูกค้า หรือเก็บข้อมูลพื้นฐาน

9. ความน่าเชื่อถือ

ควรมีรีวิวหรืองานวิจัยรองรับ มีความสำเร็จจากงานที่เคยทำ อาจจะจ้าง influencer ที่น่าเชื่อถือมารีวิว

10. ภาพประกอบ

ภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา มีความexclusive สวยงามภาพ 

11. ความปลอดภัยของเว็บไซต์

ปัจจุบันถ้ามี SSL/HTTP เว็บจะแสดงความไม่ปลอดภัยทำให้ลูกค้าไม่กล้าเข้าชม

12. การชำระเงิน

ควรมีหลากหลายช่องทาง ใช้งานง่าย มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก

13. เลือกช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูง

หลังสรุป A/B testing ให้เราเลือกช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อทำแคมเปญโฆษณา Remarketing ดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าให้กลับมายังเว็บไซต์และอาจเกิด Conversion ขึ้นได้

14. การปรับแต่งในส่วนของ Headline

ทำพาดหัวให้น่าสนใจและตรงกับบทความนั้นๆ 

15. การปรับ Conversion Funnel

ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก เช่น หน้าแรก -> หน้าหมวดหมู่สินค้า -> หน้ารายละเอียดสินค้า -> หน้าเช็คตะกร้าสินค้า -> หน้าจ่ายเงิน -> หน้ายืนยันการทำรายการ

โดยปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนเหมาะสมลดการกระทำให้น้อยลง

16. ทำ A/B Testing

เลือกเรื่องที่จะทดสอบ โดยใช้การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis) แล้วเลือกวิธีการที่มี Conversion rate ที่ดีที่สุด 

17. Landing page

ต้องน่าสนใจ เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่แสดง มี mobile reponsive ตัวอักษรอ่านง่าย โหลดเร็ว

เคล็ดลับในการเพิ่ม Conversion แบบง่ายๆ

  • ใช้ภาษาที่น่ารัก – ปุ่ม CTA จากที่ใช้คำว่าสั่งซื้อ เป็น กดเพิ่มรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม อะไรแบบนี้ เป็นต้น
  • ให้เห็นคุณค่าของสินค้าและบริการ – ให้ลูกค้าเห็นถึงคุณค่าและประโยชน์จากการใช้ ทำให้ผู้เข้าชใรู้สึกว่าต้องใช้ ต้องลองให้ได้
  • อย่าให้กรอกข้อมูลอะไรมากมาย – อย่าให้คนสมัครสมาชิกรู้สึกถึงความเยอะและเหนื่อยหน่ายในการกรอกข้อมูล ถ้าเป็นไปได้เอาสิ่งที่จำเป็นก็พอ เช่น อีเมลและชื่อ แต่ถ้าต้องการให้กรอกเพิ่มขึ้นควรให้คนกรอกภายหลัง
  • ให้คนรู้ว่า click แล้วได้อะไร – ต้องทำให้แน่ใจว่าเค้าได้รับสิ่งที่ต้องการเมื่อ click เข้าไป
  • แลกผลประโยชน์กัน – อาจจะให้คูปองส่วนลด หรือ โปรโมชั่น หรือ ดาวน์โหลดที่เป็นประโยชน์ เมื่อให้ลูกค้าทำอะไรบางอย่าง

การนำ Google Analytics มาใช้วัดผล Conversions

Goals ใน GA คือรายงานที่เกี่ยวกับอะไร? แล้วต้องเข้าไปตั้งค่า Goal กันยังไง? เราแนะนำให้ดูคลิปนี้ >> กด เพื่อให้เข้าใจถึงการวัดผลที่เรียกว่า Conversions หรือว่า Goals ใน GA ส่วนใครที่ต้องการเข้าไปสร้าง Goal ใน GA ก็สามารถทำตามได้ผ่านคู่มือนี้ >> อ่าน

เครื่องมือในการทำ Conversion Rate Optimization ที่แนะนำมีอะไรบ้าง?

1. Google Optimize

สมัครใช้งาน Google Optimize ได้ฟรีที่ https://www.google.com/analytics/optimize/

2. Optimizely

ดูรายละเอียดของ Optimizely ได้ที่ https://www.optimizely.com/

3. VWO

ชื่อเต็มๆ คือ Visual Website Optimizer ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นิยมนำมาใช้ในการทำ CRO เช่นกัน สมัครใช้งาน VWO ได้ฟรี 30 วันที่ https://vwo.com/

UX Tools เครื่องมือที่ทำให้ UX ดีขึ้น เพิ่ม Conversion rate สูงขึ้น

1. Session Recordings

การที่เราสามารถรู้ว่า User ทำอะไรใน Website ถือเป็นเหมือนสมบัติที่ทำให้เราเข้าใจ User มากขึ้น รู้ว่า User สนใจอะไร เราสามารถทำสินค้าและบริการมาตอบโจทย์ผู้ใช้ได้

Session Recordings จะเป็นเหมือนการอัดหน้าจอและดู action ต่างๆที่ User แต่ละคนทำ ตัวอย่างเช่น Mouse movement, Scrolling, Clicks หรือ การกดแป้นพิมพ์

Session Recording ใช้เพื่ออะไรบ้าง
  1. ดู Bounce rate
  2. time ที่ User ใช้ทำ Task ต่างๆ
  3. หาBugที่ยังไม่ได้แก้
  4. อุปสรรคที่ User เจอ
  5. ดู Navigation

โดย Session Recordings tool list เราได้แนะนำ 4 อย่างนี้ ซึ่งได้รับความนิยมจากเว็บไซต์ UX Tools

2. Surveys

อยู่รูป pop ups โดยรับ Feedback จาก User ซึ่งเราถามกับ User ในขณะทำ Task อยู่ได้ คำถามมีทั้งปลายปิด/เปิด หรือคละกัน เราจะเข้าใจ User มากขึ้นและสามารถรวบรวม Feedback ที่มีประโยชน์ในการพัฒนา Product และ Conversion rate ต่อในอนาคต

Survey ใช้เพื่ออะไร
  1. หา Product ที่ควรแก้ไข
  2. เหตุผลเกี่ยวกับ Product นี้
  3. หา Product idea ใหม่ๆ
  4. แสดงความใส่ใจต่อ User
  5. ปรับปรุง Conversion rate หลัง Survey
  6. เก็บ insight

Tool ที่เราแนะนำ

3. Incoming Feedback

เป็นการให้ User แจ้งความรู้สึกต่อการใช้งานพร้อมเหตุผลต่อ componemt ว่าชอบหรือไม่ชอบเพราะอะไร ซึ่งบางเครื่องมือ(Tool) จะมีให้ Highlight แต่ละ Component เราจะรู้ feedback ในแต่ละ Component

Incoming Feedback ใช้เพื่ออะไร
  1. สำรวจพฤติกรรม User
  2. รับ Feedback ของ userแต่ละ Component
  3. รับรู้ปัญหาในการใช้งาน
  4. เข้าใจความรู้สึกของ User ขณะเจออุปสรรคระหว่างการใช้งาน

Tool ที่แนะนำ

4. Heatmap

จะแสดงพฤติกรรมของ User โดยรวม ทำให้เรารู้ว่า product ได้รับความนิยม โดย Heatmap มี 3 ประเภท ได้แก่

1. Click Maps

ทำให้เรารู้ว่า Action ที่เราต้องการให้ User ทำในหน้านั้นถูกต้องหรือไม่ โดยแสดงจำนวนครั้งและตำแหน่งที่ User ทำการกด ในรูปแบบสีสเปกตรัม ถ้าสีแดงมากแสดงว่าตำแหน่งนั้นมีการกดเยอะนั่นเอง

2. Move maps

การเคลื่อนที่ของนิ้วมือหรือcursorสัมพันธ์กับสายตา ทำให้เราเข้าใจได้ว่า User กำลังมองอะไรอยู่ใน Product การแสดงตำแหน่งและความถี่ของการเคลื่อนที่ของ Mouse บนหน้า device ในรูปแบบสี โดยถ้าแดงมากก็มีความสนใจมาก

3. Scroll maps

แสดงระยะการเลื่อนขึ้นลงของหน้าจอ โดยถ้ายิ่งแดงมากนั่นคือ user เลื่อนมาอ่านมาก ตรงกันข้ามกับสีน้ำเงินคือมี User มาถึงน้อย

heatmap ใช้เพื่ออะไร
  1. ดูว่า User เห็น Action ที่เราอยากให้ทำไหม
  2. เพื่อวาง information ในตำแหน่งที่ User สนใจ
  3. สำรวจพฤติกรรมของ User ในแต่ละ device
  4. ดูว่า User สนใจอะไรลดลง
Tool ที่เราแนะนำ

 

สรุป

Conversion Rate สำคัญในการวัดความสำเร็จของโฆษณาที่เราใช้มากกว่าการดูเฉพาะจำนวน click เราวัด CVR เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของ user ในการตัดสินใจชอบหรือไม่ชอบอะไรได้ละเอียดขึ้น

ประโยชน์ที่ได้รับจาก Conversion Rate

  1. วางแผนงบประมาณการทำโฆษณาได้ง่าย
  2. เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้เป็นลูกค้าได้ง่ายขึ้น
  3. ลดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาเนื่องจากทราบกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
  4. กำหนดแนวทางโฆษณาได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น
  5. รู้จำนวนกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น

Conversion Rate สำคัญต่อการทำโฆษณาอย่างไร

Conversion Rate ที่ทำให้เข้าใกล้กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องสุ่มทำโฆษณาให้เปลืองงบ ได้คนที่สนใจตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!