อธิบายวิธีการคำนวณเปอร์เซนต์ของ keyword density (KD) หรือ ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดในการทำบทความSEO พร้อมเหตุผลในการกำหนดกฎเกณฑ์นี้จากGoogle มีความจำเป็นต้องสนใจอย่างมาก พร้อมแนะนำเครื่องมือวิเคราะห์ความหนาแน่นคีย์เวิร์ด ครบทุกมุมมอง (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)
เมื่อก่อนการวัดความหนาแน่นคีย์เวิร์ดอาจจะไม่ได้สำคัญเลย แต่ในทุกวันนี้ การนับจำนวนคีย์เวิร์ดในคอนเทนต์ (Keyword Density) กลับเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเพื่อให้เหมาะสมกับความยาวของเนื้อหา ทางกูเกิ้ลจึงจำเป็นต้องคัดเลือกคอนเทนต์ดีๆมากเสิร์ฟผู้อ่าน ลดการสแปมkeyword(keyword stuffing) คนที่ดูแลเรื่อง Search อย่างเป็นทางการจาก Google ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจำเป็นต้องรู้
Keyword Density คืออะไร
Keyword Density คือ การหาเปอร์เซนต์ของ focus keyword ในบทความ โดยบทความยาว 100 คำ จะต้องมี “คีย์เวิร์ดหลัก” หลักประมาณ 1-2% คำ ถึงจะเหมาะสม ไม่spam keyword(keyword stuffing) สามารถติดหน้าแรก Google ได้ โดยไม่ควรเกิน 5% ของคำในบทความ (สนใจกด >> รับทำ SEO)
การทำ Keyword Density ที่ดีควรจะต้องกระจายความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดให้ทั่วทั้งบทความ ไม่ไปกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนใดส่วนนึงของบทความนั้นๆมากเกินไป ต้องให้สมดุลและเป็นธรรมชาติมากที่สุด จึงจะถูกต้อง เช่นใส่ใน ย่อหน้าแรก ท่อนกลาง ท่อนล่าง และให้อ่านรู้เรื่อง
การวัดค่า Keyword Density
สูตรการหาค่าpercent ของ keyword density คือ :
% ของ คีย์เวิร์ด = (จำนวนคำkeyword/จำนวนคำทั้งหมดในหน้าเพจนั้นๆ)*100
ตัวอย่างเช่น บทความนึงมีโฟกัสคีย์เวิร์ดคำว่า “KD” โดยจำนวนคำของบทความนี้มีทั้งหมด 1,800 คำ และมีคำหลักคำว่า “KD” ปรากฏในบทความอยู่ที่ 20 คำ ดังนั้นค่าความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดจะอยู่ที่ [20/1,800] *100 = 1.11 %
keyword stuffing ทำให้หน้าเว็บเพจนั้นๆไม่ถูกจัดอันดับในตำแหน่งที่เราต้องการ เทียบกับหน้าเพจที่มีการเขียนเนื้อหาหรือบทความที่เป็นธรรมชาติ และใช้หลักการในการเขียนบทความโดยเน้นคำค้นหาหลากหลาย หรือ Related keyword และคำค้นหาในรูปแบบประโยคที่ไม่ใช่กลุ่มคำของคำค้นหานั้นๆโดยตรง หรือ LSI keyword(Latent semantic indexing)
ซึ่งตัวอย่างหลังนี้จะให้ประสิทธิภาพหรือคุณภาพของอันดับที่ดีกว่า เนื่องจากว่าบทความหรือหน้าเว็บเพจที่เขียนเนื้อหาหรือมีเนื้อหาที่ค่อนข้างหลากหลาย มันทำให้ search engine รับรู้หรือเข้าใจได้ว่าหน้าเว็บเพจนั้นมีเนื้อหาโดยรวมของบทความนั้นๆเกี่ยวข้องในเรื่องใด (สนใจกด >> รับสอน SEO)
เครื่องมือที่ใช้เช็ค Keyword Density
โปรแกรมที่แนะนำ ก็จะมี 2 ตัว คือ SEOquake ท่านสามารถไปดาวโหลดติด เว็บเบราว์เซอร์ ได้เลย ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
เครื่องมืออีกตัวที่ออกแบบมาเพื่อวัด % Keyword Density คือ Page Optimizer Pro ทำงานโดยการถามเราว่าคีย์เวิร์ดหลักของเราคืออะไร (อยากติดหน้าแรก Google คำไหน) แล้วก็ไปสแกนหน้าเว็บไซต์ของคู่แข่งที่ติดหน้าแรกในคีย์เวิร์ดเป้าหมายของเราอยู่ก่อน เพื่อบอกว่าค่าเฉลี่ยต่างๆ ที่วัดได้ ของเว็บพวกนี้เป็นยังไง
เช่น บอกเราว่าเค้ามีความยาวคอนเทนต์เฉลี่ยกันกี่คำ แล้วมีคีย์เวิร์ดหลักในนั้นกี่คำ รวมไปถึงพวกลิงก์ ความยาวชื่อบทความ และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นแนวทางปรับเว็บ
Keyword Density มีความสำคัญกับการทำSEO หรือไม่?
การทำSEO โดยการโฟกัสกับ Keyword Density ให้ผลดีบางส่วนตราบเท่าที่ไม่มีคู่แข่งที่ทำบทความที่ดีกว่ามาสู้ และความหนาแน่นคีย์เวิร์ดก็เป็นแค่เพียงปัจจัยนึงใน 200 กว่าปัจจัย อีกทั้งเครื่องมือต่างๆ ก็มักมีข้อจำกัดในการสแกนภาษาไทย ทำให้เวลาและความพยายามที่จะใช้ลงไปเพื่อปรับให้สัดส่วนของคีย์เวิร์ดลงตัว ไม่ค่อยคุ้มกับผลลัพธ์ทาง SEO ที่ได้มากนัก (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce)
ทำยังไงเว็บถึงติดอันดับGoogle ในคียเวิร์ดที่ต้องการ?
จะเห็นว่า สิ่งที่ Google บอกอย่างตรงไปตรงมาทุกครั้งในทุกอัปเดต ย้ำซ้ำๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตั้งให้เป็น Mission สูงสุดของบริษัท คือการเชื่อมโยงผู้คนกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ดีที่สุด และคำที่เราเห็นบ่อยที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็คือ EEAT (Expertise, Experience, Authority, Trust)
EEAT สรุปง่ายๆ ก็คือทำคอนเทนต์ในเรื่องที่เรารู้จริง มีประสบการณ์จริง เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนอ่าน (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress)
มุ่งมั่นทำคอนเทนต์ได้ตรง EEAT และ ตอบโจทย์ Search Intent มีประโยชน์กับคนอ่าน ไม่คิดแค่เรื่องSEOเพื่อดันอันดับเว็บแต่แคร์คนอ่านจริงๆ ทำไปเรื่อยๆทุกวัน ท่านจะสามารถชนะเว็บที่ดีเว็บอื่นๆได้ในที่สุด
ให้ผู้ชมตัดสินอันดับผ่าน User Signals
หลังจากที่ Google ทราบโครงสร้างโดยรวมแล้ว และรู้ว่าบทความนี้เกี่ยวกับอะไร จากนั้น Google จะตัดสินอันดับบทความว่าควรอยู่อันดับใดในSERPs ผ่านเกณฑ์ว่าคอนเทนต์นี้มีประโยชน์กับผู้ใช้งานหรือไม่ นั่นก็คือ การนำบทความไปให้ User ทดสอบนั่นเอง(ฝั่งของ User Signals) โดยจะวัดจากค่าดังนี้
- Ctr : บทความแสดงผลให้เห็นแล้วมีการกดเข้าชมเว็บ(คิดเป็นเปอร์เซนต์) ถ้าค่ายิ่งมากยิ่งดี
- Time on Page : จำนวนคนอยู่ในหน้าเว็บ นานหรือไม่ ยิ่งอยู่นาน ก็แสดงว่า เนื้อหามีประโยชน์ ใช้งานได้จริง แต่ถ้าเข้าแล้วออกเลย แสดงว่า เนื้อหาเขียนไม่ดี หรือ ไม่มีประโยชน์เลย
ข้อควรระวังในการทำ Keyword Density
ในกรณีที่ใส่ หรือวาง Keyword Density มากจนเกินไป ก็มักจะส่งผลเสียต่อการทำ SEO 2 อย่าง คือ
- กรณีที่ใส่มากเกินไปจะทำให้บทความนั้น อ่านไม่รู้เรื่อง มีผลต่อ User ทำให้อ่านไม่จบ
- กรณีที่ใส่มากจนเกินไป จะทำให้ Google มองบทความนั้นว่าเป็น บทความ Spam Keyword(keyword stuffing)
สรุป
Keyword density หรือ ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด เป็นปัจจัยนึงของการทำ ON-PAGE SEO โดยปัจจุบันนี้ search engine ของ Google นั้นมีการปรับปรุง algorithm ใหม่ให้กับ clawler หรือบอทที่เข้ามาเก็บข้อมูลในเว็บไซต์ของเรา ตลอดจนมีการปรับเปลี่ยน algorithm ในการจัดอันดับใหม่ให้เป็นแบบเรียลไทม์มากยิ่งขึ้น
โดย algorithm นี้สามารถเข้าใจความหมายของเนื้อหาที่อยู่บนหน้าเว็บเพจนั้นได้โดยการเขียนประโยคที่ยาวๆได้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก เราจึงไม่ต้องเขียน Focus keyword ซ้ำๆให้ดูเหมือนสแปมคีย์เวิร์ด(keyword stuffing)
เราไม่จำเป็นจะต้องทำการ spam keyword(keyword stuffing) คำค้นหาที่ตนเองต้องการทำ seo ให้กับบทความหรือหน้าเว็บไซต์ของตนเอง เพราะนอกจากไม่ได้ช่วยให้อันดับของเว็บไซต์ของท่านดีขึ้นแล้วยังมีโอกาสถูกกูเกิ้ลแบนอีกด้วย สุดท้ายจะทำให้อันดับของเว็บไซต์ของท่านนั้นแย่ลงกว่าเดิมไปอีก