ทำSEOแล้ว อันดับตก อันดับร่วง ไม่ขึ้นหน้าแรก Google มีวิธีแก้ยังไง

สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำเมื่อ อันดับตก มีอะไรบ้าง พร้อมวิธีแก้ไขอันดับร่วง สาเหตุที่ปรับปรุงบทความแล้วหายไปจากหน้าแรกกูเกิ้ลเป็นเพราะอะไร ส่งผลให้ traffic คนเข้าเว็บลดลง มาหาคำตอบกันได้ในบทความนี้ พร้อมวิธีตรวจสอบเช็คสุขภาพเว็บเพื่อผลลัพธ์ของการทำ SEO ที่ถูกต้อง ที่นี่ครบจบในที่เดียว

SEO อันดับร่วง SEO อันดับตก เรียกได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับคนที่ทำคอนเทนต์ SEO มักจะมีการมอนิเตอร์เพื่อตรวจเช็คกันเป็นประจำอยู่แล้ว โดยปกติคอนเทนต์ SEO นั้น ถ้าเขียนดี ถูกหลัก มีประโยชน์จริง ใช้ Long Tail Keywords ก็ไม่ยากเลยที่จะติดหน้าแรกกูเกิ้ล และคอนเทนต์ SEO ติดหน้าแรกไปแล้ว ก็มักจะติดเป็นระยะเวลานาน แต่ก็มีโอกาสเหมือนกันที่จะตกอันดับได้

ซึ่งปัจจัย SEO อันดับร่วง มีได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นมีคู่แข่งที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน การเขียนดีกว่า ให้ความรู้มากกว่า หรือเว็บไซต์คู่แข่งมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ SEO ของเราอันดับตกได้ (สนใจกด >> รับทำ SEO)

ปัจจัยสำคัญที่ทำเว็บ SEO อันดับตก

ทำเว็บ SEO ไม่ขึ้น อันดับร่วง จะมีอยู่ 3 เหตุผล คือ

สาเหตุที่1 ที่ทำให้ อันดับตก คือ เว็บมี Backlink สแปมเยอะเกินไป

หากเว็บนั้น เนื้อหาไม่ได้เขียนยาว On page ก็ไม่ครบ และบทความไม่เยอะ หรือบทความเยอะเกิน 100 บทความ แต่เขียนแต่เรื่องซ้ำๆ โดยโฟกัสที่คำใดคำหนึ่งเป็นพิเศษ และมีการทำ Backlink แบบเยอะมากๆ

แปลว่า เว็บนั้น ที่ผ่านมาติดอันดับได้ เพราะพลังจาก Backlink ไม่ได้เกิดจากคุณภาพของคอนเทนต์บนเว็บ

เพราะ Google ลดความสำคัญของ Backlink ลง ทำให้พลังของ backlink ที่เคยมี มันหายไป และเมื่อพลัง backlink หายไป แต่ตัวคอนเทนต์เนื้อหาในเว็บเราที่ผ่านมาก็ทำมาไม่ดีพอ อันดับก็ย่อมตกเป็นธรรมดา

ดังนั้น เว็บใครที่มีอาการแบบนี้ สิ่งที่ต้องทำคือไปปรับปรุงเนื้อหา ปรับ On page ให้มันดี และต้องปรับ On page ให้มันดีทุกหน้าด้วย ไม่ใช่ไปแก้ไขแค่หน้าเดียว

โดยมากเว็บพวกนี้ อดีตเคยมี traffic ก็จริง แต่มันเกิดจากการติดอันดับ แค่บางคำ หรือบางหน้า มันจะไม่มี traffic เข้าเว็บจากหน้าอื่นๆ พอ backlink ที่เคยทำมันไม่ได้ผล ทุกอย่างมันก็เลยร่วงหมด เพราะ googleถือว่าที่ผ่านมาได้ traffic จากหน้าเดียว(หน้าที่ซ้ำทั้งหมดนับเป็น1หน้า)

และให้หยุดทำ Backlink แบบที่เคยทำ เพราะมันใช้ไม่ได้ผลแล้ว backlink ก็ยังต้องทำ แต่ต้องทำแบบมีคุณภาพเท่านั้น

สาเหตุที่2 ที่ทำให้ อันดับตก คือ เว็บที่เขียนเนื้อหายาวเกินไป

เว็บใครที่ไม่เคยซื้อ backlink ทำ backlink แบบมีคุณภาพมาตลอด หรือไม่ได้ทำ Backlink เลย เคยติดอันดับ แต่อยู่ๆอันดับตก ถ้าเป็นเคสแบบนี้ แปลว่า เว็บเราอันดับตกเพราะเนื้อหาที่เราใส่บนเว็บ (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)

จากที่สังเกต หน้าเว็บที่อันดับตก มักจะเป็นหน้าเว็บที่เราเขียนเนื้อหายาวเกินไป เกินพอดี คือ เกิน 5000 คำ microsoft word

เขียนยาวนั้นดี แต่บางทีมันออกนอกเรื่อง ทำให้ keyword ที่มันควรเด่น กลับไม่เด่น รวมถึง Google ยังดูเรื่อง user experience ของคนที่เข้ามาดูเนื้อหาหน้านั้นด้วย เช่น คนเข้าเว็บเรา อยู่กี่นาที เลื่อนหน้าจอ จากข้างบนลงมาถึงด้านล่างสุดหรือไม่ เลื่อนช้าหรือเร็ว ฯลฯ

การเขียนยาวเกินไป แล้วคนดูไม่จบ หรือใช้เวลาอยู่หน้าเว็บ ไม่สัมพันธ์กับความยาวที่เราเขียน อาจเป็นสาเหตุให้หน้าเว็บนั้นอันดับตกได้

สำหรับเว็บใครที่คิดว่าน่าจะเกิดจากเคสนี้ เราต้องกลับไปปรับปรุงเนื้อหาใหม่ เขียนให้สั้นลง เขียนให้กระชับขึ้น ถ้าจะเขียนยาวอย่าให้เกิน 3000 คำ

พยายามทำเนื้อหาให้ได้สัก 1500-2500 คำ กำลังดี คือ มันเหมาะสมกับการที่จะให้คนอ่านเนื้อหาเราจนจบจริงๆได้

สาเหตุที่3 ที่ทำให้ อันดับตก คือ เว็บที่มีเนื้อหาซ้ำ

เนื้อหาซ้ำในที่นี่ ไม่ใช่ซ้ำ เพราะเราไปคัดลอกเนื้อหาจากเว็บคนอื่นมาใส่แบบเปะๆ ซึ่งจุดนี้พวกเรารู้อยู่แล้ว ว่าไม่ควรทำ

แต่เว็บที่มีเนื้อหาซ้ำ ที่อันดับตก คือ เว็บที่ใช้การผสม เนื้อหาจากหลายๆ เว็บ แล้วเอามาเรียงต่อๆกัน เช่นบางทีเราชอบย่อหน้าของเว็บนี้ เราก็ไปคัดลอกมาใส่ หรือบางข้อมูลของเว็บตัวเองหน้าอื่น ที่เราเขียนไว้ดีอยู่แล้ว และบทความนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน เราก็เลยขี้เกียจคิดใหม่ จึงไปคัดลอกของเดิมมาซ้ำ จึงทำให้เนื้อหาหน้านั้นซ้ำนั้นเอง

เว็บที่ได้รับผลกระทบในเรื่องปัจจัยเนื้อหาซ้ำ คือ พวกเว็บ รีวิวสินค้า ต่างๆ ที่มักจะใช้การคัดลอกข้อมูลคำอธิบายสินค้า จากเว็บหลักของสินค้านั้นๆ หรือข้อมูลบน Shopee Lazada แล้วเอามาใส่ตรงๆ บนเว็บ โดยไม่ได้มีการเขียนอะไรสดใหม่ที่เป็นสไตล์ ตัวเองเพิ่มเข้าไป (สนใจกด >> รับสอน SEO)

credit ข้อมูลจาก https://padveewebschool.com/seo-ranking-drop/

เครื่องมือเช็คสุขภาพเว็บไซต์ เมื่อทำ SEO ไม่ขึ้น

การที่ อันดับตก อันดับร่วง สามารถดูได้หลายอย่าง และมีหลายสาเหตุมาก ๆ เช่น ถ้าอันดับตกเพราะมีคู่แข่งมากขึ้น เพียงแค่เราค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เราต้องการ แล้วค้นพบว่าเจอคอนเทนต์สดใหม่ หรือเว็บไซต์ที่เราไม่คุ้นชินมากก่อน

หรือจะเช็คจากเครื่องมือที่ใช้ฟรีอย่าง Ahrefs เช็คแล้วเจอคู่แข่งมากขึ้น นั่นหมายความว่าคู่แข่งทำคอนเทนต์ได้เหนือกว่าเรา ตรงนี้เราสามารถใช้วิธีอัพเดตคอนเทนต์ให้ดูสดใหม่มากขึ้น เพิ่มเติมเนื้อหา หรือรายละเอียด รวมไปถึงรูปภาพ ก็จะทำให้ Ranking ของเราดีขึ้น

หรือถ้าเกิดจากเว็บไซต์เราโหลดช้า ก็สามารถเช็คได้ที่ Google Search Console ส่วนที่เป็น Core Web Vitals ถ้าพบความผิดปกติ หน้าเว็บไซต์โหลดช้า ก็จะแสดงว่า หน้าเว็บใช้เวลาโหลดเท่าไร ยิ่งช้านั่นหมายความว่าไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องลดระยะเวลาในการดาวน์โหลดเพื่อเปิดหน้าคอนเทนต์นั้นๆได้ เช่นลดขนาดไฟล์รูปให้เล็กลง ลดความละเอียด หรือพยายามใช้สกุลไฟล์ที่มีการบีบอัดรูป หรือจำนวนรูปออกไป เท่านี้ก็จะช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น และในระยะยาวจะช่วยให้ Ranking สูงขึ้นด้วย

ปรับแก้บทความเก่าก็ทำให้อันดับลงได้

สาเหตุหลักที่ปรับบทความเก่าแล้วทำให้อันดับร่วง อันดับลดลง จะมีดังนี้

1. Keyword Density หายไป (การกระจายตัวของ Keyword)

ยกตัวอย่าง บทความนึง มี Keyword อยู่ในเนื้อหาอยู่ประมาณ 15 คำ แต่พออัพเดทเนื้อหา หรือเปลี่ยนเนื้อหาแล้ว Keyword เหลืออยู่ 8 คำ และการกระจายตัวของคีย์เวิร์ดก็ลดลงเพราะเนื้อหามากขึ้น ทำให้บทความนั้นขาดน้ำหนักไปซึ่งจะมีผลต่ออันดับได้

2. เผลอ ลบ Keyword บน Title และ Description ไปโดยไม่ตั้งใจ

หลายคนที่ไม่คุ้นกับการทำ SEO ส่วนมากจะมองข้ามตรงนี้ไป แต่ที่จริงแล้วการที่ไม่มี Keyword อยู่บน Title ถือว่าเป็นฝันร้ายเลยก็ว่าได้ จากที่ประสบการณ์ทำSEOมาอย่างยาวนาน ก็พบว่า ถ้าหากขาดส่วนนี้ไป จะทำให้อันดับตก 100 % นั่นเลยทีเดียว

3. มีการเปลี่ยน VDO ในบทความ

จากประสบการณ์การทำSEO พบได้เลยว่า เอา VDO YOUTUBE ออก เปลี่ยนตัวใหม่เข้าไปแทน สรุปว่าอันดับตกไปทันที อันนี้เห็นผลได้ภายใน 3 วันเลยด้วย

เนื่องจาก VDO อันเก่า คนดูจบ 3 นาที แต่อันใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเนี้ย คาดว่าจะมีคนดูไม่จบ แล้วก็ปิด ทำให้ Google มองว่า VDO ของผมนั้นไม่มีคุณภาพ และทำให้ ผู้ชมอยู่ในเว็บไซต์น้อยลงด้วย (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce)

4. มีการเปลี่ยนรูปภาพในบทความ

เพราะว่าการที่เราวางรูปลงในไปเนื้อหา เราก็จะต้องใส่ ATL TEXT หรือชื่อรูปภาพ เป็นคีย์เวิร์ดหรือเนื้อหาใกล้เคียง แต่พอเราเอา จะเกิดปัญหาเพราะว่า Keyword มันหายไปนั่นเอง

ปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้ SEO อันดับตก

1. UX/UI ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน

Google ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะมีการนำ User Experience (UX) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเกณฑ์การวัดคุณภาพของ SEO ด้วย นั่นเท่ากับว่าหากเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณดีมากแค่ไหน แต่ UX/UI ห่วย Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์นั้นไม่มีประสิทธิภาพพอ ไม่ควรจะเอามาขึ้นโชว์บนหน้าแรกของการค้นหา

ดังนั้นคุณต้องตรวจสอบเว็บไซต์ให้ดีทั้งคุณภาพด้านเนื้อหาและเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานหรือไม่ เช่น ดีไซน์ปุ่มหรือ Pop up ที่เด่นดึงดูดใจ แต่ก็ไม่สร้างความรำคาญตา, ดีไซน์การวางภาพและตัวอักษรที่ไม่แน่นเกินไปจนดูรกไปหมด, การเรียงลำดับเนื้อหา การเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อนให้ผู้ใช้เกิดความสับสน และอื่นๆ

2. มี Keyword Cannibalization

Keyword Cannibalization คือ การเพิ่มคีย์เวิร์กเดียวกันเข้าไปในหลายๆหน้า ต้องตรวจสอบเว็บไซต์ดูให้ดีว่ามีซ้ำกันหรือไม่ เพราะยิ่งใส่คีย์เวิร์ดเดิมซ้ำ ๆ ในหลายหน้ายิ่งทำให้ Search Engine สับสน ไม่ได้ส่งผลดีนะ อาจทำให้มีการแข่งกันเอง ซึ่งจะส่งผลกระทบให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์แย่ ควรปรับเปลี่ยนให้คีย์เวิร์ดแต่ละหน้าแตกต่างกันและสอดคล้องกับเนื้อหาที่แสดงในหน้านั้นเป็นดีที่สุด

3. Page Speed โหลดนานเกินไป

Page Speed คือ ความเร็วในการโหลดเข้าหน้าเว็บไซต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ คลิปวิดีโอหรือแอนิเมชันต่า ๆ ลองนึกดูว่าถ้าคุณอยากให้เว็บไซต์ไหนสักที่หนึ่ง แต่เว็บนั้นโหลดช้ามาก คุณจะรู้สึกเบื่อไหมล่ะ? ยิ่งเว็บไซต์โหลดเร็วก็ยิ่งส่งผลดีทั้งต่อ User และการทำ SEO โดยตรง ซึ่งปกติแล้วค่าเฉลี่ยของการโหลดไม่ควรเกิน 2.5 วินาที

สิ่งที่ส่งผลให้เว็บไซต์ช้าลงจะมีอยู่ 4 ปัจจัยคือ

  • รูปภาพ, วิดีโอมีขนาดใหญ่เกินไป
  • Server hosting ไม่ดี
  • ใช้ Plug-In เยอะเกินไป
  • Script Code ที่มีมากเกินไปก็ทำให้เว็บไซต์ช้าลงด้วย

4. ใช้ Keyword ที่ไม่สัมพันธ์กับเนื้อหา

หนึ่งปัจจัยที่สำคัญของการได้ SEO อันดับต้นๆ ก็คือการเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม เป็นคำที่คนมักใช้ค้นหาเยอะและบ่อยจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกพบเห็นได้ง่ายเมื่อติดหน้าแรก ซึ่งจะเป็นการเพิ่ม Brand Awareness ให้กับเว็บไซต์ รวมไปถึงเพิ่ม Traffic ในการคลิกเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยวิธีตรวจสอบ Keywords ในเว็บไซต์นั้นสามารถดูได้จาก 3 องค์ประกอบนี้เลย

  • คีย์เวิร์ดที่เลือกมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและตัวเว็บไซต์หรือไม่ ?
  • คีย์เวิร์ดที่เลือกต้องมีปริมาณ Search Volume มากพอที่จะเอามาใช้ สามารถวิเคราะห์คู่แข่งโดยใช้ Tools หา Keyword ที่เหมาะสมในการทำ SEO เช่น SEMRush, KWFinder, Ahrefs และอีกมากมาย
  • คีย์เวิร์ดที่ใช้นั้นต้องไม่มีการแข่งขันที่สูงมากจนเกินไป

5. เว็บไซต์ไม่เป็น Mobile Friendly

แบรนด์ควรตรวจสอบเว็บไซต์ว่ามีความเป็น Mobile Friend มากแค่ไหน เพราะ Google คิดเป็นหนึ่งปัจจัยสำหรับการทำ SEO ด้วย เว็บไซต์ควรให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟน (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress)

6. มี Broken Links

ลองตรวจสอบเว็บไซต์ให้ดีว่าเว็บไซต์ของคุณมีลิงก์เสียหรือเปล่า ซึ่งลิงก์เสียส่วนใหญ่มักเกิดจากการอัปเดตเว็บไซต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา หรือมีหน้าเว็บที่ถูกลบ เว็บไซต์หรือบทความที่มีลิงก์เสียจะส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่อาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่เชื่อใจจนกดปิดหรือออกจากเว็บไซต์ไป แน่นอนว่ามันส่งผลเสียต่ออันดับ SEO โดยตรง

อีกกรณีหนึ่งคือ Backlink ที่เคยใช้อาจกลายเป็นเว็บไซต์ที่โดเมนหมดอายุหรือมีการสแปม หากอยากลบลิงก์ออกก็สามารถทำ Disavow Link ใน Google search Console ก็ได้ แต่ก่อนทำก็ต้องมั่นใจว่าลิงก์นั้นเสียหรือแย่จริง เพราะหลังจากทำ Disavow Link ไปแล้ว ค่า SEO ที่เคยได้อาจหายไป

สาเหตุที่ทำให้เว็บไซต์โดนลดอันดับจาก GOOGLE PENALTY

การจะทำให้เว็บไซต์หลุดจากบทลงโทษของ Google Penalty ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่า 53% ของเว็บไซต์ที่โดนแบนจะไม่ได้อันดับคืนมา หรือหากจะได้คืนก็ใช้เวลากว่า 1 ปี ดังนั้น

สิ่งสำคัญที่เราควรรู้ก็คือต้นตอของการโดนลดอันดับว่าเกิดจากสาเหตุใด พร้อมแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อที่เราจะได้รักษาอันดับเว็บไซต์ให้ได้นานที่สุด ซึ่งในที่นี้จะขอพูดถึง 3 หัวข้อหลักๆที่ทำให้เกิด google penalty เพราะสาเหตุอื่นๆจะซ้ำกับหัวข้อที่พูดไปข้างต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่เหมือนกัน

1. ใช้คีย์เวิร์ดซ้ำมากเกินไป

เมื่อแทรกคีย์เวิร์ดที่ไม่จำเป็นในบทความมากเกินไป Google อาจตรวจจับและเข้าใจว่านักเขียนใช้วิธีนี้เพื่อโกงระบบเพื่อให้ Google Bot ตรวจจับคีย์เวิร์ดมากกว่าจะทำบทความที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่านอย่างแท้จริง ดังนั้น Google จึงตัดสินให้บทความบนเว็บไซต์นั้น ๆ ไม่มีคุณภาพ และทำการลดอันดับเว็บไซต์ให้อยู่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

วิธีแก้ปัญหา : แก้ไขคีย์เวิร์ดในบทความ โดยพยายามแทรกkeywordลงไปให้อยู่ในช่วง 2-5% ของจำนวนคำทั้งหมด พร้อมตรวจดูความลื่นไหลของภาษาและเนื้อหา เพื่อให้คีย์เวิร์ดนั้นๆ กลมกลืนและดูธรรมชาติมากที่สุด

2. เว็บไซต์มีประวัติโดนแฮ็ก (Hack)

หากเว็บไซต์เคยโดนแฮ็กถือว่าเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ทำให้ Google มองเว็บไซต์ของเราไม่มีคุณภาพและไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน ดังนั้น Google Penalty จึงถูกนำมาใช้เป็นบทลงโทษ และทำให้อันดับเว็บไซต์ของเราหลุดจากหน้าแรก

วิธีแก้ปัญหา : เจ้าของเว็บไซต์ควรปรับปรุงให้เว็บไซต์มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทั้งการตั้งค่า Password ใหม่ที่รัดกุม ไม่ใช้ Password เดียวกันในบัญชีอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน พร้อมกันนั้นยังควรตรวจสอบความปลอดภัยของ Domain อยู่เสมอ

อาจใช้วิธีเลือก Host ที่มีประสิทธิภาพและมีบริการสแกน Malware เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ไปอีกขั้น

3. สแปมคอมเมนต์ (Spam Comments) ที่ไม่มีคุณภาพ

หลายๆ ครั้งเว็บไซต์โดนลดอันดับจากปัญหาการสแปมคอมเมนต์ กล่าวคือ ถ้าเจ้าของเว็บไซต์แนบลิงก์เว็บไซต์ของตนเองในคอมเมนต์เป็นจำนวนเยอะๆ ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วคอมเมนต์นั้นๆ ไม่ได้มีคุณภาพหรือเกี่ยวโยงกับเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ Google ก็จะทำการตรวจจับคอมเมนต์ในลักษณะนี้ในฐานะ Spam และลดอันดับเว็บไซต์ของคุณทันทีที่ตรวจพบ

วิธีแก้ปัญหา : เพื่อหลีกเลี่ยงสแปมจากคอมเมนต์ลักษณะนี้ เจ้าของเว็บไซต์ควรติดตั้ง Disable Comment หรือปลั๊กอินเพื่อช่วยตรวจสอบสแปมคอมเมนต์โดยเฉพาะ หรือหากตรวจเจอการทำคอมเมนต์ลักษณะนี้ด้วยตนเองก็อาจแจ้งให้ Google ได้รับรู้ เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขก่อนที่ Google จะทำการลดอันดับลง

การปล่อยเว็บไซต์ให้ร้าง ไม่มีการอัปเดต ก็ทำให้อันดับร่วงได้

ต้องบอก Google เป็น Search Engine ที่ชื่นชอบเนื้อหาที่มีความสดใหม่ และการอัพเดทข้อมูล/เนื้อหาบนเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ฉะนั้น การปล่อยเว็บไซต์ไว้เฉยๆ โดยไม่มีการปรับปรุงเป็นเวลานาน หรือมีแต่เนื้อหาเก่าๆ เดิมๆ เหมือนทุกครั้งที่ Google เข้ามาเก็บข้อมูล ก็มีโอกาสที่ Google จะจัดเว็บไซต์ที่หมั่นอัปเดตข้อมูลมากกว่าเว็บเรามาขึ้นมาแทน

 

สรุป

เมื่อเว็บไซต์ของคุณเผยแพร่เนื้อหาที่ไม่ถูกหลักSEO จนเกิด Google Penalty แน่นอนว่าอันดับในผลการค้นหาจะหายไป SEO อันดับตก อันดับร่วง SEO ไม่ขึ้นหน้า ยิ่งถ้าหากคุณเคยอยู่อันดับต้นๆ บนหน้าแรกของการค้นหาแล้วจู่ๆ อันดับของคุณก็ตกหรือหายไป คงไม่ใช่เรื่องน่าขำแน่ๆ เพราะนั่นหมายความว่าการมองเห็น การรับรู้แบรนด์ของคุณจะลดลง

เมื่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเข้าใช้งาน Search engines และค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ แต่น่าเสียดายที่คุณจะไม่ปรากฎบนหน้าหน้าแรกของผลการค้นหานั้น เพราะคุณถูก Google Penalty ถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คู่แข่งของคุณก็จะแซงหน้าไปได้ง่ายๆ และที่สำคัญธุรกิจของคุณก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนเท่าที่ควรจะเป็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!