ดันอันดับเว็บโปรโมทเพจด้วย Meta Title หรือจะเรียกว่า Title Tag หรือ Page Title ก็ได้ โดย เมตาไตเติ้ล ไตเติ้ลแท็ก หรือเพจ ไตเติ้ล เป็น Code HTML ปกติในการสร้างเว็บเพจจะมี Title tag ซึ่งก็คือ <title></title> โดยสิ่งที่อยู่ภายใน Title tag นั้น บอทของ Google จะมองว่าเป็นหัวเรื่อง <title>……หัวเรื่องของเว็บเพจ……</title> ในลักษณะนี้
บนพื้นฐานของการทำ SEO On-Page สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไตเติ้ล (Title) ซึ่งก็คือ หัวเรื่องของเว็บเพจนั้น ๆ นั่นเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าชื่อเรื่องจะได้รับการแสดงเป็นหัวเรื่องใน Search Engine ด้วย หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คลุกคลีอยู่กับวงการ SEO ในระดับนึงแล้ว คุณจะให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อเรื่องมาก ๆ เพราะจะเป็นตัวช่วยหลักที่จะดึง Traffic ให้เข้ามาสู่เว็บไซต์เราเลย (สนใจกด >> รับทำ SEO)
Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag คืออะไร?
Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag คือ Tag ที่บอกชื่อเรื่องของหน้าเว็บนั้นๆ ซึ่งอยู่ในส่วน Head ของ HTML โดยจะปรากฏอยู่ด้านบนของ Web Browser และลิงค์บนหน้าผลการค้นหาใน Search Engine อย่าง Google เป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากในการทำ SEO Title
ทั้งนี้ เมตาไตเติ้ล ไตเติ้ลแท็ก หรือเพจ ไตเติ้ล จะไม่ได้แสดงอยู่ในส่วนของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์โดยตรง แต่จะแสดงอยู่ใน Source Code ของหน้าเว็บไซต์นั้นๆ และโดยทั่วไปแล้วเราสามารถใส่ข้อความใน Title Tag ได้ผ่านระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ (สนใจกด >> รับสอน SEO)
ตัวอย่างโค้ด Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag
<head>
<title>ชื่อเรื่อง</title>
</head>
ตัวอย่างการเขียน Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag
<title>รับทำ SEO ทำเว็บให้ติดหน้าแรก Google ราคาถูก รับประกันผลงาน</title>
ทำไม Google ถึง ไม่ใช้ Page Title ที่เราใส่เข้าไป?
ในหลายครั้งนั้น Search Engine ไม่ได้จับ Title Tag ที่เราระบุเข้าไป และทำการแสดง Page Title ที่เราไม่ต้องการ แต่ไปจับคำอื่นๆที่เราใส่ไว้ในเว็บไซต์ การจะชี้แจงที่แน่ชัดนั้น ตอบยากมากๆ ทั้งนี้ในกรณีนี้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ หาก Google คิดว่า Meta Title ของเรานั้นไม่ได้อธิบาย เนื้อหาภายใน ใน keyword นั้นๆ และคิดว่าการใส่คำเหล่านี้เหมาะกับ user มากกว่า (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)
หากเกิดกรณีนี้ขึ้นมา ส่วนมากที่เราเจอนั้น Meta Title จะไปจับ H1 ที่เราระบุไว้ในหน้านั้นแทน เราจึงแนะนำการใส่ H1 ของเนื้อหา ให้มีความใกล้เคียงกับ Meta Title ให้มากที่สุด จะดีที่สุด สำหรับ SEO Title
วิธีการเขียน Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag ให้ถูกหลักการSEO
1. ให้ใส่ Keyword ที่สำคัญ
ควรใส่ Keyword (คีย์เวิร์ด) สำคัญๆ ของหน้าเว็บไซต์นั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่ต้องการทำ SEO ให้ติดอันดับ เพราะจะตรงกับ Keyword ที่ผู้ใช้ต้องการค้นหา
2. ใส่ข้อความประมาณ 60-65 ตัวอักษร
เนื่องจาก Google มีการจำกัดความกว้างของ Title ที่แสดงบนผลการค้นหาเป็น Pixel ไม่ได้กำหนดจำนวนตัวอักษรที่ตายตัว เพราะแต่ละตัวอักษรและแต่ละภาษามีขนาดไม่เท่ากัน จึงควรใส่ข้อความให้มีความเหมาะสมกับการแสดงผล
3. เขียนให้คนอ่านอยากคลิก
เนื่องจาก เมตาไตเติ้ล ไตเติ้ลแท็ก หรือเพจ ไตเติ้ล เป็นส่วนสำคัญที่จะปรากฏอยู่ผลการค้นหาของ Google ควรเขียนให้ดูโดดเด่น และสื่อความหมาย เข้าใจได้ทันทีว่าหน้าเว็บไซต์นี้เกี่ยวกับอะไร
4. ใส่ชื่อแบรนด์ไว้ส่วนท้ายได้
สามารถใส่ชื่อเรื่องล้วนๆ ก็ได้ หรืออาจจะใส่ชื่อแบรนด์ ชื่อบริษัท หรือชื่อเว็บไซต์ไว้ในส่วนท้ายก็ได้ โดยเครื่องหมาย เช่น – หรือ | คั่นก่อนใส่ชื่อได้เพื่อแยกให้เห็นชัด
เพิ่มเติมข้อควรทำ
- ต้องใส่ Keyword เอาไว้แถวด้านหน้า จะดีที่สุด แต่ไม่จำเป็นต้องเขียนข้างหน้าสุด
- เขียน Title Tag ให้น่าสนใจ มี Keyword และควรเขียนให้กระชับ
- เขียน Title Tag ไม่ควรเขียนยาวจนเกินไปเพราะจะทำให้ Title Tag นั้นโดนตัดขาดออกไป
- เขียน Titles ให้มีความแตกต่างและมีความเฉพาะเจาะจง (Unique)
ความแตกต่างๆ ในที่นี่มีอยู่ 2 อย่าง คือ แตกต่างจุดที่ 1 คุณต้องแต่งให้แตกต่างๆ จากเว็บที่ติดอันดับมาก่อนเรา Google มองหาข้อมูลที่สดใหม่อยู่เสมอ ถ้าเราแต่ง Titles และ Descriptions ซ้ำกับคนอื่น โอกาสที่เว็บเราจะถูกเลือกย่อมมีน้อย ความแตกต่างจุดที่ 2 ก็คือ Titles และ Descriptions ของแต่ละหน้าบนเว็บต้องมีความแตกต่างๆ ต้องทำให้แต่ละหน้ามีความเป็น Unique (ความเฉพาะเจาะจง) ทำให้ Titles ของแต่ละหน้ามีความแตกต่างกันนั้นเอง - วิเคราะห์ search intent ของ User ก่อนแต่ง Page Title
search intent คือเจตนาหรือสิ่งที่ User ตั้งในมองหา ในการค้นหาคำใดคำนึง ซึ่ง search intent นั้นก็มีอยุ่หลายแบบเช่น บางคนมองหาข้อมูลเพื่ออ่านเปรียบเทียบ บางคนต้องการคำตอบสั้นๆ บางคนอยากได้คำตอบบยาวๆ บางคนอยากได้ความมั่นใจ วิเคราะห์จุดนี้เพื่อเอามาเป็นส่วนหนึ่งในการแต่ง Page Titles ให้ดูน่าสนใจ
ค้นหาคีย์เวิร์ดให้ดีและนำมาปรับใช้ นึกถึง Title Tag นึกถึงคีย์เวิร์ด
การจัดอันดับเว็บไซต์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ดหลักเพียงคำเดียว แต่ต้องมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้ามาด้วยถึงจะได้ผล เช่น การใช้ long-tail keywords ที่เป็นคีย์เวิร์ดยาวๆ ก็ช่วยไต่แรงก์ได้ดีไม่ใช่น้อยเลย (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce)
แม้ว่าจะวางคีย์เวิร์ดที่หลากหลายบน Meta tag แต่ก็ต้องระวังเรื่องการยัดคีย์เวิร์ดด้วย เพราะจะส่งผลเสียต่อ user experience รวมถึงการจัดอันดับของ SERPs ด้วย
จำไว้เสมอว่าควรเขียน Page Title เพื่อให้คนอ่าน ไม่ใช่แค่ search engines อย่างเดียว
การเขียน เมตาไตเติ้ล ไตเติ้ลแท็ก หรือเพจ ไตเติ้ล ช่วยอะไร?
การเขียน เมตาไตเติ้ล ไตเติ้ลแท็ก หรือเพจ ไตเติ้ล จะเข้ามาช่วยใน 2 เรื่องนี้ คือ
- ช่วยทำให้ Google ทราบว่าเนื้อหาเราเกี่ยวข้องกับอะไร
- ช่วยทำให้ ผู้ใช้งาน หรือผู้คนหาทราบว่า บทความนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร
ข้อควรระวังในการเขียน Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag
1. ระวังอย่าใส่ข้อความจนยาวเกินไป
หากข้อความยาวเกินไปความกว้างที่ Google กำหนดไว้ จะโดนตัดเป็น … และถ้าวาง Keyword ที่สำคัญๆ ไว้ด้านท้ายก็โดนตัดหายไปด้วย
2. ระวังอย่าใส่ Keyword เยอะเกินไป
ควรโฟกัสที่ Keyword หลักๆ 1 -3 คำก็พอ และไม่ควรใส่ Keyword ซ้ำๆ เพราะนอกจากจะไม่น่าอ่านแล้ว ยังดูเป็น Spam อีกด้วย
3. ระวังอย่างใช้ Meta Tag ซ้ำกันทุกหน้า
มักเกิดขึ้นเวลาทำเว็บไซต์ใหม่ อาจตั้งเป็นชื่อเว็บไซต์มาเลย เนื่องจากคนทำเว็บไซต์ไม่ได้แก้ไขให้ในแต่ละหน้า (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress)
เพิ่มเติมข้อควรระวัง
- ไม่มี Keyword ใน Title tags
- เขียน Title Tag ไม่กระชับ
- แบบ มือถือ และ แบบ Desktop จะใช้ตัวอักษรไม่เท่ากัน ยังไงก็อย่าลืมเช็คกันด้วยนะ แต่แนะนำให้อิงจาก มือถือเป็นหลักนะ เพราะสมัยนี้คนเข้าผ่าน Mobile กันเยอะมากๆ
- เขียนเพื่อให้คนอ่าน ไม่ใช่เขียนเพื่อ Googlebot
การแต่ง Title ทีดี คุณต้องโฟกัสไปที่ผู้ใช้งานก่อน คือเขียนให้อ่านรู้เรื่อง เขียนด้วยภาษาที่ถูกต้อง ถูกหลักไวยกรณ์ อย่าไปแสปมเขียนด้วยการเอาคำ keyword มาเรียงต่อๆ กัน ให้จำไว้เสมอถ้า user ชอบสิ่งที่เราเขียน Googlebot ก็จะชอบสิ่งที่เราเขียนไปด้วยเสมอ - เขียน Page Title ให้เด่นเรื่องเดียว
เขียน Page Title ให้กระชับ เด่นแค่ประเด่นเดียวที่สอดคล้องกับคำ Keyword ที่เราเตรียมไว้ อย่าให้มี keyword ของหน้าอื่นมารบกวน
วิธีการใส่ Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag บน WordPress
1. Install Yoast Plugins
ให้ทำการติดตั้งปลั๊กอิน Yoast (Yoast เป็น Plugins หรือส่วนเสริมบน WordPress ซึ่งช่วยให้คุณสามารถจัดวางองค์ประกอบคอนเทนต์หรือบทความของคุณให้เป็นไปตามหลักการทำ SEO ที่ดี)
โดยขั้นตอนการติดตั้ง Yoast Plugin
- ให้ล็อกอินเข้าไปที่หน้า WordPress เลือกแถบเมนู Plugins จากนั้นเลือก Add New
- ให้เรา Search คำว่า “yoast seo” ในหน้าการค้นหา
- จากนั้นให้กด Install Now ตัว Yoast SEO Plugins
2. เปิด Yoast Mode
ขั้นตอนการเปิด Yoast Mode
- เมื่อเราเข้าไปทำการเพิ่มหรือแก้ไข Post ของเราจะเห็นไอคอนของ Yoast SEO Plugins
- ให้ทำการคลิกที่ไอคอนหนึ่งครั้งเพื่อเปิดฟังก์ชันการใช้งาน Yoast SEO Plugins
3. เข้าไปที่แถบ Google Preview
4. จากนั้นทำการตั้ง Meta Tag Title และ Description ได้เลย
ซึ่งเวลาเราพิมพ์ในช่อง SEO Title และ Meta description จะมีหน้าต่าง Preview ให้เราดูด้วยว่าเวลา Meta tag title และ description ไปแสดงผลในหน้าผลการค้นหา (SERP) จะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถดูได้ทั้งแบบ mobile result และ desktop result เมื่อตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คลิก Return to your post เลย
สรุป
Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag มีความสำคัญในการทำ SEO Title เพื่อให้เว็บไซต์ติดแรงก์หน้า1บน Google มากๆ
เพราะอะไร “Page Title” ถึงสำคัญ ?
Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag นี้จะถูกใช้เพื่อทำให้คนอ่านรู้ว่าหน้าเว็บไซต์หน้านั้นๆ เล่าถึงอะไร และดึงดูดให้คนอ่านคลิกเข้ามาในเว็บเรามากขึ้น และแน่นอนว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEO (Search Engine Optimisation) ทำให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บเราหน้านี้เกี่ยวกับอะไรเช่นกัน
เพราะฉะนั้น Page Title เลยเป็นส่วนที่สำคัญ ไม่แพ้กับการเขียนเนื้อหาคอนเทนต์บนเว็บไซต์เลย เพราะเวลาคนค้นหาอะไรบน Google ก็จะเจอ เมตาไตเติ้ล ไตเติ้ลแท็ก หรือเพจ ไตเติ้ล นี้เป็นส่วนแรกนั่นเอง
ด้านของ SEO (Search Engine Optimisation)
- ช่วยให้ Search Engines เข้าใจได้ว่าหน้าเว็บของเราเกี่ยวกับอะไร
- ช่วยทำให้เว็บไซต์ติดแรงก์ได้ดีขึ้น
ด้านของผู้ค้นหา
ช่วยโน้มน้าวให้ผู้ค้นหาคลิกลิงก์เข้าเว็บเรา โดยที่ Google จะแสดง Title ในผลการค้นหา และเพิ่ม Click Through Rate (CTR) ซึ่งก็คืออัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น ดังนั้นการทำ Title ให้มีความชัดเจนในหัวข้อบทความและตอบโจทย์ดูน่าสนใจ ก็จะทำให้ผลลัพธ์ยิ่งดีขึ้นนั่นเอง.
ด้านของเเบรนด์ธุรกิจ
- ช่วยเพิ่ม Brand Awareness ทำให้คนเห็น และรู้จักแบรนด์เรามากขึ้นผ่านการเสิร์ชบน Google
- ช่วยทำให้ธุรกิจเรามีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
- ช่วยทำให้กลุ่มคนที่ค้นหา เข้าใจในสินค้าหรือบริการของธุรกิจเราได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยลดต้นทุนในการทำโฆษณาในระยะยาว
เพราะฉะนั้น หากอยากทำให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงๆ ในการค้นหา หรือหาเจอได้ง่ายๆ ควรใส่ใจในการตั้งชื่อ Meta Title (Page Title) หรือ Title Tag ที่ดี เหมาะสม เเละชัดเจน สะท้อนให้เห็นถึงหัวข้อ เนื้อหาที่กำลังพูดถึงบนหน้าเว็บไซต์ เเละนำคำคีย์เวิร์ดมาใช้ร่วมด้วย เพื่อมุ่งเน้นให้ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา เพราะสิ่งนี้มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ของเราโดยตรง