กลยุทธ์และหลักการทำ Content Pillar(Pillar Content) หรือ Pillar Page เพื่อดันอันเว็บไซต์ในการแสดงผลของ Google หรือ SERP รวมถึงความเกี่ยวข้อกับ Content Hub(Hub Content) ด้วยแนวคิด Hero/Hub/Help หรือ Topic Cluster เป็นยังไง บทความนี้รวบรวมมาให้ครบ จบในที่เดียว
นักการตลาดทุกท่านน่าจะทราบถึงความหมายและประสิทธิภาพของการทำ SEO (Search Engine Optimization) กันเป็นอย่างดี ว่าสามารถสร้างประโยชน์ให้กับเว็บไซต์และทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ซึ่งการจะทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพจนสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้นั้นก็มีอยู่หลายวิธีเช่นกันตั้งแต่การปรับแต่งเชิงเทคนิค Meta Tags , Image Optimization , Page Speed หรือการเขียนคอนเทนต์ให้ถูกสเปคของ Google มากที่สุด ผ่านการใส่ Keyword ลงในบทความเพื่อให้ติดอันดับการค้นหาบนหน้า SERP
แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งอยู่ ที่สามารถทำให้การเขียนคอนเทนต์และการทำ SEO ของคุณได้ประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า Topic Cluster หรือ Content Hub ซึ่งก็คือการจับกลุ่มของคอนเทนต์ ควบคู่ไปกับการทำ SEO ด้วยนั่นเอง
เรียกได้ว่าถ้าหากคุณกำลังต้องการให้เว็บไซต์ได้ Ranking ดีๆ ในหน้าการค้นหาของ Google วิธีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
โดยในคอนเทนต์เนื้อหานี้เราขอพาคุณไปศึกษาตั้งแต่การทำความเข้าใจว่า Topic Cluster หรือ Content Hub คืออะไร เกี่ยวข้องกับ Content Pillar(Pillar Page) ยังไง รวมไปถึงเทคนิคในการเขียนคอนเทนต์ของ Topic Cluster หรือ Content Hub และ Content Pillar(Pillar Page) ด้วย หากพร้อมแล้วไปติดตามกันต่อได้ในบทความนี้ได้เลย (สนใจกด >> รับทำ SEO)
Content Pillar คืออะไร
Content Pillar(Pillar Content) หรือ Pillar Page คือ หนึ่งในกลยุทธ์การสร้าง Hero Page ซึ่งเป็นหน้าเว็บไซต์หนึ่งที่ถูกทำขึ้นมาแบบเฉพาะ พร้อมจัดทำเนื้อหาขึ้นมาเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อรวบรวมบทความหรือเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียว เท่านั้นยังไม่พอ Pillar Page นี้จะต้องทำหน้าที่เป็นเหมือน ‘ประตู’ ที่นำพาคนอ่านไปยังบทความอื่นๆ ในประเด็นเดียวกันผ่านการเชื่อมโยงด้วยสิ่งที่เรียกว่า Hyperlink (สนใจกด >> รับสอน SEO)
Content Hub คืออะไร
Content Hub(Hub Content) หรือ Topic Cluster คือ การจับกลุ่มของคอนเทนต์หลายๆ บทความที่มีความใกล้เคียงกันของเนื้อหา ให้เข้ามาสู่คอนเทนต์หลัก (Pillar Content) ที่เป็นคอนเทนต์ที่คุณต้องสามารถโน้มน้าวใจผู้อ่านให้สร้าง Conversion หรือ Lead มาสู่ธุรกิจคุณให้ได้
เราจะขออธิบายให้ชัดเจนขึ้นสักเล็กน้อย คือ ในการทำ Content Hub หรือ Topic Cluster นั้นอันดับแรกเราจะแบ่งการทำ Content เป็น 2 แบบก่อน ได้แก่
- Pillar Content หรือคอนเทนต์หลัก ซึ่งต้องผ่านการเลือกมาก่อนนะว่าต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง สามารถโน้มน้าวใจ จูงใจให้ผู้อ่านสร้าง Conversion หรือ Lead มาสู่ธุรกิจคุณให้ได้ ซึ่งในการทำ Topic Cluster หรือ Content Hub นั้นอนุญาติให้คุณมี Pillar Content ได้เพียง 1 คอนเทนต์เท่านั้น
- Cluster Content หรือ Related Content คือ คอนเทนต์เสริม ที่จะเข้ามาช่วย Support ให้ Pillar Content มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น โดย Pillar Content คุณจะทำมากี่คอนเทนต์ก็ได้ แต่ทุกคอนเทนต์ที่ทำจะต้องใส่ลิงก์หรือ CTA ที่เชื่อมโยงไปสู่ Pillar Content ของคุณและทุกคอนเทนต์ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับคอนเทนต์หลัก
ตัวอย่าง เช่น ธุรกิจฟิตเนส เป็นคนทำ Content Pillar เรื่อง Weight Loss(ลดน้ำหนัก) โดยเป้าหมายของเราอาจจะต้องการ Lead เพื่อสมัครฟิตเนส โดยเนื้อหาหลักของคอนเทนต์ก็จะเกี่ยวกับเรื่องของการลดน้ำหนัก ซึ่ง Cluster Content ที่อยู่รอบๆ ก็จะเป็นคอนเทนต์ที่มี Topic เอื้อกับการลดน้ำหนัก และทุกคอนเทนต์จะใส่ Hyperlink เชื่อมโยงเข้าหา Pillar Page ซึ่งก็คือ Pillar Content เรื่อง Weight Loss(ลดน้ำหนัก)
ดังนั้น Pillar Page จึงเปรียบเสมือนหน้าเว็บไซต์กลางที่จะสรุปเนื้อหาของเว็บไซต์ทั้งหมดไว้ด้วยกัน ทำหน้าที่คล้ายกับสารบัญของหนังสือที่ทำให้ Bot ของ Google และคนอ่าน มองเห็นเนื้อหาที่เชื่อมโยงถึงกันได้ง่าย เข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ แถมยังเป็นประเภทคอนเทนต์ที่สามารถโน้มน้าวใจผู้อ่านให้เกิด Conversion มาสู่ธุรกิจได้ดีอีกด้วย (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)
Pillar Page ในเว็บไซต์อาจจะมีมากกว่าหนึ่งหัวข้อก็ได้ แต่ก็ควรเป็นเนื้อหาในหมวดที่ใกล้เคียงกัน และมี Topic Cluster ที่บ่งบอกว่า เว็บไซต์ของคุณมีจุดประสงค์อย่างไร เช่น คุณต้องการทำเว็บไซต์ด้าน Digital Marketing การทำ Pillar Page ก็อาจจะเป็นเรื่อง SEO ซึ่งแตก Cluster Content ออกมาเป็น การทำ Keyword Research , การสอนใช้ Yoast SEO , วิธีการเช็ตอันดับเว็บไซต์ ส่วน Pillar Page อื่นๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องการทำเว็บไซต์, การทำ Ads หรือการสอนเขียนบทความออนไลน์ เป็นต้น
ยกเว้นในกรณีที่คุณต้องการทำ Content Pillar เพื่อสร้าง Conversion หรือหา Lead โดยเฉพาะ คุณอาจจะโฟกัสการทำ Pillar Content หัวข้อเดียวไปเลย เช่น คุณต้องการทำเว็บไซต์ขายอาหารเสริม อาจจะทำเป็น Pillar Page ที่รวบรวมคอนเทนต์เกี่ยวกับวิธีการลดน้ำหนักด้วยการกินในแบบต่างๆ เป็นต้น
Pillar Page ช่วยธุรกิจและการตลาดในเรื่องอะไรบ้าง?
แน่นอนว่า เป็นเว็บไซต์กลางที่รวบรวมเนื้อหาไว้ในหน้าเดียวแบบนี้ จะต้องมีประโยชน์สำหรับธุรกิจและการตลาดในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
1. เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
เพราะการจะสร้าง Content Pillar ได้หนึ่งหน้าจะต้องประกอบไปด้วย Content Cluster มากมาย โดยคุณจะต้องวางแผนให้คอนเทนต์มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ต้องมีหัวข้อที่หลากหลาย ทั้งนี้ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วย Search Intent ที่น่าสนใจแตกต่างกัน หากทำได้เว็บไซต์ของคุณก็จะได้ Traffic ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นจากการที่คนเข้าไปอ่านคอนเทนต์ที่มีอยู่หลากหลาย Topic นั่นเอง
2. ลด Bounce Rate เพิ่ม Average time on page
การทำ Pillar Content ให้สามารถลิงก์ไปยังบทความที่เกี่ยวข้องได้จากหน้าเดียว ถือเป็นการกระจาย Traffic ไปยังคอนเทนต์อื่นๆ ทำให้ลด Bounce Rate (คนอยู่ในหน้าเว็บเพจนั้นนานขึ้น) เพิ่มคะแนนSEOของเว็บไซต์ดันอันดับเว็บ แถมยังทำให้ผู้อ่านใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น จึงเป็นการเพิ่ม Average time on page ไปด้วยครับ
3. สร้าง Authority ให้กับเว็บไซต์
หน้า Pillar Page ที่มีเนื้อหาดีมากๆ ส่วนใหญ่มักถูกหยิบไปพูดถึง หรืออ้างอิงในเว็บไซต์อื่น ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่จะทำให้คุณได้ Backlink จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกลับมา
4. เพิ่มโอกาสในการเกิด Conversion
คุณสามารถตั้งเป้าหมายในการทำ Pillar Page เป็น Conversion ได้ เนื่องจากเป็นหน้ารวมคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาครบถ้วนมากพอที่จะโน้มน้าวใจให้ผู้อ่านกระทำบางอย่างที่คุณต้องการได้ เช่น กรอกฟอร์มให้ข้อมูล, ดาวน์โหลดบางสิ่ง, กดซื้อสินค้า, กดจองสถานที่ เป็นต้น (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce)
5. ตอบโจทย์ Marketing Funnel เป็นอย่างดี
ตามหลักกลยุทธ์ Marketing Funnel ที่มุ่งหน้าหาแค่ลูกค้าตัวจริง จากการค่อยๆ สร้างการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อหาลูกค้าที่ใช่ไปทีละขั้นตอน ตั้งแต่ Awareness, Interest, Consideration และ Conversion การทำ Content Pillar ให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ช่วยตอบสนองต่อปัญหาที่ลูกค้าเป้าหมายกำลังเผชิญ อยากได้คำตอบ สนใจ ช่วยในการตัดสินใจ ไปจนถึงกระตุ้นให้อยากซื้อ ก็จะช่วยทำให้แผนทำการตลาดผ่านคอนเทนต์ของคุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้นด้วย
Pillar Content สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO?
นอกจากจะช่วยในด้านธุรกิจและการตลาดแล้ว Pillar Page ยังสำคัญกับ SEO มากๆ เนื่องจากเป็นเทคนิคหนึ่งที่จะช่วยให้ Bot ของ Google เห็นถึงความสัมพันธ์กันของคอนเทนต์บนเว็บไซต์จากการทำ Internal Link ไว้ในบทความ ทำให้ Google มองว่าคอนเทนต์ของคุณมีคุณภาพและให้คะแนน SEO เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ได้ เนื่องจากเว็บไซต์มีเนื้อหาที่มีคุณภาพมากพอที่เว็บไซต์อื่นๆ นำไปอ้างอิงและทำการ Backlink ส่งกลับมา ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ E-E-A-T Factor ที่เป็น Algorithm หรือระบบประมวลผลของ Google Search นำมาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสจะขึ้นสู่ลำดับแรกๆ เมื่อทำการค้นหาผ่าน Google อีกด้วย
ประเภทหลักของ Content Pillar
สำหรับรูปแบบการทำ Content Pillar ที่นิยมทำกันจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
- 1. หน้ารวม Blog
เป็น Pillar Page หน้าเพจที่ทำขึ้นมาเพื่อรวม List คอนเทนต์ แล้วทำ Internal Link ออกไปยังบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน้าตาส่วนใหญ่จะเป็นกล่องบทความใหญ่ๆ ให้คลิกต่อไปยัง Content Cluster หรือ บทความย่อยๆ ที่สนใจได้ ซึ่งคุณสามารถแบ่งย่อยออกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจนได้ จากการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ที่สวยงาม
- 2. หน้า Product & Service
โดยเราจะทำหน้า Pillar Page เป็น Product & Service ต่างๆ และแต่ละสิน้คาหรือบริการ เราจะเน้นเชื่อมโยงไปยัง Cluster Content หรือ คอนเทนต์ย่อยๆ ที่สนับสนุนแต่ละ Product & Service นั้นๆ
- 3. Guideline Page
เป็น Pillar Page แนว How-to , ให้ความรู้ หรือสรุปเนื้อหาของคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เว็บไซต์อยากจะมอบให้ผู้อ่านในเชิงลึกแบบไม่มีกั๊ก โดยคอนเทนต์ประเภทนี้มักจะได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี เพราะแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญแบบเจาะลึกของผู้เขียน และยังเป็นมิตรกับ Google มากๆ ด้วย (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress)
เพิ่มเติมแนวคิดรูปแบบการทำ Content Pillar ต่างๆ
- คอนเทนต์แบบให้ความรู้แบบ Basic
เป็นคอนเทนต์แนวรวบรวมองค์ความรู้พื้นฐาน อย่างการบอกนิยามว่าสิ่งนั้นคืออะไร โดยเน้นการตอบคำถามที่ผู้คนมักจะใช้ในการค้นหาแบบละเอียด เช่น คนจะถามหาเนื้อหา SEO เบื้องต้นว่าอะไร อย่างเช่น SEO คืออะไร, On-Page SEO คืออะไร, SEO Friendly URLs คืออะไร เป็นต้น เพื่อรวบรวมเป็นความรู้สำหรับมือใหม่ที่มีโอกาสจะเป็นกลุ่มลูกค้าของคุณได้ ซึ่งก็ต้องนำเสนอเนื้อหาในเชิงลึกต่อๆ ไปเพื่อให้คนอ่านเรียนรู้เนื้อหาจากเว็บไซต์เราได้เรื่อยๆ ด้วย
- คอนเทนต์แบบ How-To
เป็นการทำคอนเทนต์ที่รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการทำ, ขั้นตอนการทำ, เทคนิคการทำอะไรบางอย่างในเชิงลึกเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยการออกแบบหน้า Pillar Content ประเภทนี้อาจจะเป็นเนื้อหาที่แบ่งออกเป็นบทๆ ที่กล่าวถึงขั้นตอนการทำแบบ Step-by-Step ที่สามารถทำตามได้จริง และเนื้อหาที่เขียนอาจจะไม่ใช่แค่การเขียนด้วยตัวหนังสือ แต่ใส่ได้ทั้งภาพและวิดีโอที่ช่วยทำให้เข้าใจขั้นตอนเหล่านั้นมากขึ้นด้วยก็จะดี
- คอนเทนต์แนว Guideline
เป็นการทำคอนเทนต์ที่ดูคล้ายกับคอนเทนต์แนว How-to แต่ว่าไม่จำเป็นจะต้องลงรายละเอียดแบบ แต่เน้นเขียนเป็น Guideline ที่ทำให้เข้าใจภาพรวมและหยิบไปลองใช้งานต่อได้ เช่น ขั้นตอนทำสเต็ก ขั้นตอนการใช้รถไฟฟ้า
- คอนเทนต์แนว Resource
เป็นการขอให้กลุ่มเป้าหมายกรอกข้อมูลส่วนตัว เพื่อแลกกับองค์ความรู้หรือการใช้งาน Resource ที่คุณทำขึ้นมา โดยได้ประโยชน์ทั้งในด้านการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์และในบางครั้งก็ช่วยทำให้ได้ Lead
เทคนิคการทำ Content Pillar ให้ติดอันดับ SEO
1. กำหนดภาพรวมของคอนเทนต์ (Cluster Content) ให้ชัดเจน
คุณจะต้องกำหนด Topic Cluster หรือ Content Hub ของ Cluster Content โดยหัวข้อที่คุณรวบรวมมาทำคอนเทนต์นั้นจะต้องประกอบขึ้นมาเป็น Pillar Page ที่สอดคล้องคล้อง เพื่อจัดโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณให้เป็น Topic Clusters ที่สมบูรณ์ ซึ่งวิธีการกำหนด Topic ของคอนเทนต์ใน Pillar Page สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้
a. กำหนดจากประเด็น
แบ่งออกเป็น ประเด็นหลัก ประเด็นรอง และประเด็นย่อยที่จะสื่อสาร โดยประเด็นหลักจะเป็น Main Pillar Page ของเว็บไซต์ ส่วนประเด็นรองคือ หัวข้อที่คุณจะนำมาทำ Pillar Page แยกย่อยเฉพาะเรื่องนั้นๆ และสุดท้ายประเด็นย่อยก็คือ Content Cluster หรือ คอนเทนต์ย่อยๆ ที่ประกอบเข้าเป็นแต่ละ Content Hub หรือ Topic Clusters ภายในเว็บไซต์ของคุณ
ยกตัวอย่างเช่น
- ประเด็นหลักของ Pillar Page ที่คุณต้องการสร้างคือ SEO
- ประเด็นรองของคุณก็จะเป็น Specific Topic ที่ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับ SEO เช่น สอน SEO, คอร์ส SEO, ทำ SEO
- ประเด็นย่อยที่เกี่ยวข้อง เช่น คุณต้องการทำ Pillar Page สำหรับคอร์ส SEO ก็อาจจะต้องมีสื่อการสอน วิดีโอ หน้าเข้าเรียนคอร์ส และเนื้อหาที่ประกอบขึ้นมาเป็น คอร์ส SEO
b. กำหนดจากสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายอยากรู้และคุณอยากบอก
ยกตัวอย่างเช่น
- หาจาก Search Intent ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณแล้วนำมาทำ Keyword Research
- ทำจาก Pain Points ของกลุ่มเป้าหมาย แล้วเขียนเนื้อหาที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นให้พวกเขาได้
- ทำให้กลุ่มกลุ่มเป้าหมายเห็นว่า คุณคือกูรู และพวกเขาจะได้รับประโยชน์อะไรจากสินค้า/บริการของคุณ
- บอกสิ่งที่สินค้าและบริการของคุณทำได้ คุณต้องการขายอะไร และมันช่วยแก้ปัญหาให้กลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร
2. วางโครงสร้างของ Pillar Page แบบเห็นภาพ
เพื่อเป็นการป้องกันการหลงทาง หรือตกหล่นคุณควรที่จะทำ Mapping ที่ชัดเจน เพื่อให้เห็นว่าคอนเทนต์ทั้งหมดสามารถเชื่อม Hyperlink ถึงกันทั้งหมด โดยคุณสามารถใช้ HubSpot ในการช่วยวางกลยุทธ์นี้ได้ เพราะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Mapping Template ที่คุณสามารถกำหนด Topic และคอนเทนต์ได้ค่อนข้างเห็นภาพ แถมยังมีระบบวัดผลที่ชัดเจนอีกด้วย
3. เริ่มต้นทำคอนเทนต์
สำหรับคอนเทนต์ที่มักจะใช้ได้ผลดีในการทำ Content Pillar ทั้งในแง่ของการทำอันดับและในด้านการสร้าง Engagement เลยก็คือ
a. การเขียนบทความ Long-Form โดยจะต้องทำการเรียบเรียงเนื้อหาให้น่าสนใจ มีความยาวเกิน 1000 คำขึ้นไป และตรงกับวิธีการทำ On-Page SEO เช่น
- การทำ Keyword Research
- การใส่ Keyword ลงไปใน Meta title, Meta Description และ Slug
- ใส่ Image Title และ Image Alt Text ให้รูปภาพในหน้าเว็บไซต์
- การทำ HTML Tag ซึ่งใช้เป็น “หัวข้อบทความ” <H1, H2, H3,…>
- การทำ Internal Link และ External Link ในหน้าที่เกี่ยวข้อง
- กระจาย Keyword ให้ทั่วบทความ โดยให้มี Keyword Density ในปริมาณที่เหมาะสม
b. การทำ Lead Generation เช่น EBook, Paper หรือ Presentation โดยคอนเทนต์ประเภทนี้จะเป็นคอนเทนต์ Premium ที่คุณนำ Topic ใด Topic หนึ่งมาเขียนในเชิงลึก หรือสรุปเป็นภาพรวมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ซึ่งคุณสามารถเปิดให้ผู้อ่านดาวน์โหลดได้ฟรีแลกกับข้อมูลบางอย่างที่ผู้อ่านจะมอบให้กับคุณได้ เช่น ชื่อ-สกุล, เบอร์, ที่อยู่ ฯลฯ
4. สร้างช่องทางที่ทำให้เกิด Conversion มายังหน้า Content Pillar
เรื่องสำคัญที่ทำให้การทำ Pillar Page ได้ผลหรือติดอันดับ SEO คือ การทำให้ผู้อ่านรับรู้ว่า เว็บไซต์ของคุณได้มีคอนเทนต์ที่ช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาด้วยวิธีการทำ Conversion Path จากหน้าเว็บไซต์อื่นๆ มายังหน้า Pillar Page เพื่อให้เกิด Traffic เข้ามายังหน้านี้ เช่น การทำ Call-To-Action อย่างแบนเนอร์/ปุ่มต่างๆ/การทำ Slide Bar, การทำ Navigation Menu เป็นต้น
5. วัดผลคอนเทนต์ที่ทำให้เกิด Conversion มากที่สุด
หลังจากทำ Pillar Page เสร็จ คุณต้องอย่าลืมทำระบบการเก็บข้อมูล เพื่อวัดผลคอนเทนต์ทั้งหมด และหาให้เจอว่า คอนเทนต์ไหนเป็นคอนเทนต์ที่นำพาคนมาหน้า Pillar Page มากที่สุด เพื่อปรับปรุงให้หน้านั้นมีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงกับ Pillar Page มากขึ้น ซึ่งการวัดผลนี้สามารถทำได้ด้วยการ Tracking ผ่าน UTM Parameters ที่จะใช้เป็น Tags เพื่อนำไปเพิ่มเติมในส่วนท้ายของลิงก์ URL ใช้ในการติดตาม Traffic นั้นนั่นเอง
วิธีปรับปรุง Content Pillar ให้ดีกว่าเดิม
สำหรับใครที่เริ่มทำ Pillar Content แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการปรับปรุง Pillar Page มาฝากกัน
1. ใช้เครื่องมือช่วย
เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงหน้า Pillar Page ให้ดีขึ้นได้นั้นมีอยู่หลายตัวด้วยกันเลย เช่น
- Yoast SEO เป็น Plugin ที่ช่วยปรับแต่งองค์ประกอบที่สำคัญในการทำ SEO (Technical SEO) ให้ Checklist ของเนื้อหาและโครงสร้างบนหน้าเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Google มากที่สุด
- เครื่องมือ Heatmap อย่างเช่น Hotjar ตัวช่วยที่ทำให้คุณเห็นถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานเว็บไซต์ว่า พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับ Pillar Page อย่างไร อ่านตรงไหน คลิกอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็นำผลลัพธ์ที่ได้มาวิเคราะห์และปรับปรุงคอนเทนต์เพิ่มเติม
- Google Search Console เครื่องมือฟรีจาก Google ที่จะช่วยคุณในการตรวจสอบและดูแลให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาของ Google นอกจากนี้ยังแสดงผลลัพธ์ของหน้าเว็บไซต์ในแต่ละเพจว่า ติด SEO ใน Keyword อะไร อยู่ใน Avg. Position ที่เท่าไหร่ได้อีกด้วย ซึ่งคุณสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการเลือกหยิบคอนเทนต์มาเชื่อมโยงกันเป็น Pillar Page ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
- Google Analytics เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ และเก็บข้อมูลสถิติของเว็บไซต์ คุณสามารถเจาะลึกได้ถึงกลุ่มผู้ใช้งาน ไปจนถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่พวกเขาเข้ามาทำในเว็บไซต์ ซึ่งคุณนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ดูภาพรวม Performance ของ Pillar Page ได้ด้วย
2. ปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีสื่อที่หลากหลายมากขึ้น
Pillar Page เป็นคอนเทนต์แบบ Long-Form ดังนั้น จะเขียนแค่ตัวหนังสืออย่างเดียวอาจทำให้น่าเบื่อได้ จึงควรจะปรับปรุงเนื้อหาในคอนเทนต์ให้มีสื่อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ไฟล์เสียง คลิปวิดีโอ หรือภาพอินโฟกราฟิก เพื่อให้ผู้อ่านอยู่บนเว็บไซต์ได้นานมากขึ้น และ Google ยังจะมองเห็นถึงรายละเอียดที่มากขึ้นภายใน Pillar Page ของคุณด้วย
3. การสร้าง Lead Generation แจกฟรี
ไม่มีใครไม่ชอบของฟรี ดังนั้น หากคุณทำ Lead Generation ประเภท Presentation หรือ E-book แจกฟรีแล้วแปะช่องทางการดาวน์โหลดไว้ใน Pillar Page ด้วยก็จะช่วยทำให้มี Traffic เข้ามายังหน้านี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรื่อง Traffic นี่ก็ส่งผลต่ออันดับ Ranking ด้วยเช่นเดียวกัน
4. ทำ Call to Action เสริมให้คนอยากคลิกไปต่อ
Call to Action เป็นปุ่มต่างๆ กล่องข้อความ Banner หรือการกรอกแบบฟอร์ม ที่คุณเห็นเวลาอ่านบทความบน Website หากคุณสามารถออกแบบสิ่งเหล่านี้ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม Pillar Page นั้นได้ Take Action หรือมี Engagement ได้ ก็จะช่วยทำให้พวกเขาใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ได้นานขึ้น และทำให้เกิด Conversion ในหน้า Pillar Page ได้ง่ายขึ้นด้วย
คุณสามารถปรับปรุง Call to Action ให้ดีขึ้นได้ จาก 3 องค์ประกอบหลักนี้
- ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
- ทำให้สีสันโดดเด่นสะดุดตา
- ทำให้รูปแบบ หรืออักษรมีขนาดใหญ่พอ
สรุป
การทำ Content Pillar(Pillar Content) หรือ Pillar Page คือ ตัวช่วยการทำคอนเทนต์รูปแบบหนึ่งที่ดีต่อทั้งเว็บไซต์ ผู้อ่าน รวมไปถึงการทำ SEO เพราะเป็นเทคนิคการจัดระเบียบเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เชื่อมโยงถึงกัน โดยมีหน้าเพจหนึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนคอนเทนต์ใหญ่ที่มีเนื้อหาครอบคลุมในหลายๆ เรื่อง ทำให้เก็บ Keyword ที่ทำติดได้ยากได้ดีขึ้น และในฝั่งของ User เองก็ได้ประโยชน์จากการอ่านเนื้อหาแบบเน้นๆ จนเกิดทั้งการแชร์ต่อ การคลิกอ่านเนื้อหาอื่นๆ บนเว็บไซต์ต่อ ไปจนถึงการเกิด Conversion ที่คนทำเว็บไซต์ต้องการ