การทำให้บทความคอนเทนต์SEO มี Dwell Time(DT) สูง เป็นเมตริก(Metric)นึงที่กูเกิ้ลจะดันแรงก์ในSERPได้ มาดูตัวชี้วัดที่คนทำเว็บไซต์ต้องรู้ เราจะอธิบายวิธีการทำเนื้อหาของท่านมี Dwell time มากๆได้
Dwell Time(DT) เป็น 1 ใน Metric สำคัญที่ใช้ประกอบการทำ SEO ในยุคปัจจุบัน เราได้ยินเกี่ยวกับ DT ครั้งแรกประมาณปี 2018 จนถึงตอนนี้ก็ DT ก็ยังเป็น Metric ที่คนรู้จักกันน้อย พูดถึงกันน้อยมากๆ ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้นแต่รวมถึงในต่างประเทศด้วย ไม่เว้นแม้แต่ USA ประเทศรวมเซียน SEO ก็ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงเจ้า DT มากเท่าไหร่นัก
สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ DT เพิ่งจะถูกบัญญัติในโลกนี้ไม่นานนัก อีกหนึ่งเหตุผลก็คือความคลุมเครือของมันนั่นเอง มันยังมีความคลุมเครือว่า DT นั้นเป็น 1 ในปัจจัยที่ Google ใช้เพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่มีใครตอบได้เพราะ Google เองก็ยังไม่เคยออกมา Confirm ใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ (สนใจกด >> รับทำ SEO)
Dwell Time คืออะไร
Dwell Time คือ ระยะเวลาตั้งแต่ User คลิกที่ผลการค้นหาเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ อ่านเนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์ แล้วคลิกปุ่ม Back กลับไปยังหน้าผลการค้นหาอีกครั้ง พูดง่ายๆมันคือเวลารวมทั้งหมดตั้งแต่คลิกเข้าเว็บไซต์จนกด Back กลับมาอีกครั้ง
ถ้าเวลา Dwell Time เยอะแสดงว่า Content มีประโยชน์ทำให้ User เสพย์ Content นาน แต่ถ้า DT น้อยแสดงว่า Content ไม่มีประโยชน์หรือไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ User กำลังค้นหาเลย ทำให้ User กดคลิก Back กลับมายังหน้าผลการค้นหา เพื่อเข้าเว็บไซต์อื่นๆแทน
ความสับสนของ DT ที่เกิดขึ้นบ่อยๆคือมันไม่ใช่ตัวเลขเดียวกับ Time on Page หลายๆคนพออ่านนิยามของ Dwell Time แล้วชอบคิดว่ามันคือ Time on Page จริงๆแล้วมันไม่เหมือนกัน (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)
เพราะปัญหาทางเทคนิคในการนับเวลาของ Google ที่เราเคยอธิบายไปแล้วว่า ถ้าผู้ใช้เข้าเว็บไซต์แค่หน้าเดียว (Bounce = 100%) จะทำให้ Google ไม่สามารถนับเวลาที่ใช้ในหน้านั้นได้ (จับ Time on Page หน้านั้นไม่ได้) แต่ในขณะเดียวกันเจ้า DT นี่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ Google Analytics เลย
ความแตกต่างระหว่าง Dwell Time vs. Bounce Rate vs. Time on Page
หลายคนอาจจะกำลังสับสน 3 เมตริกนี้ คือ Dwell Time, Bounce Rate และ Time on Page ว่ามีความแตกต่างอย่างไรบ้าง เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟัง แต่ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับเมตริกอีก 2 ตัวเพิ่มกันก่อน
- Bounce Rate คือ การวัดผลของผู้เข้าชมที่เข้ามาในเว็บไซต์เพียงหน้าเดียวแล้วออก โดยไม่ได้ทำการกดเข้าไปยังหน้าอื่นๆ เพิ่มเติม หรืออาจจะบอกได้ว่าเป็นการวัดเซสชันที่ผู้ใช้ไม่ได้มีส่วนร่วมกับหน้าเว็บไซต์นั้นๆ นั่นเอง
- Time on Page คือ ระยะเวลาที่ User ใช้ในหน้าเว็บเพจนั้นๆ ว่าอยู่นานแค่ไหน ก่อนที่จะไปที่อื่น (หน้าอื่นในเว็บไซต์ของคุณหรือหน้าภายนอก) การคลิกสองครั้งจะเป็นตัวกำหนดเมตริกนี้ นั่นคือ การคลิกที่นำผู้ใช้ไปยังหน้าเว็บและการคลิกที่นำผู้ใช้ออกจากหน้านั้น
จะเห็นว่าเมตริกทั้ง 3 ตัวเป็นเมตริกที่ใช้วัด Engagement ของผู้ใช้ แต่ส่วนของ Bounce Rate และ Time on Page จะแตกต่างกับ Dwell Time อยู่ตรงที่ไม่ได้ระบุเพิ่มได้ว่าผู้ใช้ได้ทำการ Back กลับไปหน้า SERP หรือไม่ด้วย
Dwell Time สำคัญอย่างไรต่อการทำเว็บไซต์
ในเมื่อ Dwell Time เป็นเมตริกหนึ่งที่ใช้สำหรับวัดผลลัพธ์ด้านการมีส่วนร่วมของผู้คนที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ จึงเป็นส่วนที่ช่วยบอกเจ้าของเว็บไซต์ได้ว่า เนื้อหาในหน้าเว็บไซต์นั้นมีความน่าสนใจและมีคุณค่าสำหรับผู้ใช้งานหรือไม่
รวมถึงหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์มีความเชื่อมโยงถึงกันมากพอที่จะนำพาคนที่เข้ามาไปยังหน้าอื่นๆ มากพอหรือเปล่า หรือเมื่อค้นหาจากช่องทางการ Search เข้ามาแล้วทำการกดกลับไปค้นหาเว็บไซต์อื่นต่อเลยในทันที (สนใจกด >> รับสอน SEO)
ค่าเฉลี่ยของ Dwell Time ควรอยู่ที่เท่าไหร่
ค่าเฉลี่ยของ Dwell Time จะขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทของเว็บไซต์และเนื้อหา โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 30 วินาที หรือในค่าเฉลี่ยที่ดีคือ 2-4 นาที เพราะผู้ใช้จะสามารถอ่านหรือเรียนรู้เนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ได้ในระยะเวลานี้
ซึ่งใครที่ทำ SEO แล้วอยู่ในอันดับสูงๆ และยังทำเนื้อหาได้ดี DT ก็จะยิ่งมีระยะเวลาที่นานมาก แต่ถ้าคุณทำ SEO จนติดอันดับแล้วแต่ DT กลับต่ำสวนทางกับอันดับ แสดงว่าเนื้อหา ดีไซน์ หรือประสบการณ์บางอย่างบนเว็บไซต์อาจจะยังไม่ดีเท่าที่ควร
จะเพิ่มค่า Dwell Time ได้อย่างไรบ้าง
ในหัวข้อนี้จะเป็นวิธีการปรับปรุงเพิ่มเวลาพักและทำให้ผู้เยี่ยมชมหน้าเว็บของคุณนานขึ้น ซึ่งช่วยทำให้ค่า Dwell Time ของเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอีกด้วย เราขอแนะนำ 7 วิธีที่เราทำแล้วเห็นผล คือ
1. ฝังวิดีโอในเนื้อหาไซต์ของคุณ
การเพิ่มวิดีโอลงในเนื้อหาของคุณ จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมดูวิดีโอเพิ่มขึ้น และยังช่วยให้ผู้คนอยู่บทเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น ในบางกรณีอาจนานกว่านั้นมาก ในทำนองเดียวกัน รูปภาพ แผนภูมิ และอินโฟกราฟิกที่น่าสนใจยังสามารถช่วยให้ผู้อ่านสนใจ
2. สนับสนุนความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของคุณ
ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์จำนวนมากชอบที่จะอ่าน และโต้ตอบกับความคิดเห็นของผู้ใช้ ดังนั้นหากมีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับเนื้อหาของคุณ คุณก็น่าจะทำให้ผู้คนสนใจเนื้อหานั้นนานขึ้น (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce)
ดังนั้นจงกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมของคุณเพิ่มความคิดเห็น หรือคำถามในโพสต์ของคุณ อยู่เสมอ เพราะจะทำให้เนื้อหาของคุณยาวขึ้นตามธรรมชาติและทำให้มีส่วนร่วมมากขึ้น (เช่นเคย ต้องเน้นที่คุณภาพ : กลั่นกรองกระบวนการอนุมัติความคิดเห็นอย่างระมัดระวัง และเผยแพร่เฉพาะความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจ)
3. ทำให้เนื้อหาของคุณเข้าใจได้อย่างง่ายที่สุด เท่าที่จะง่ายได้
หากเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณสร้างความสับสน หรือเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะทาง อาจจะทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์มุ่งตรงไปที่ปุ่มย้อนกลับบนเบราว์เซอร์ทันที ควรใช้ภาษาที่เรียบง่าย , แบ่งเนื้อหาของคุณออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน , แยกหัวข้อและแนวคิดหลักออกจากกัน , ใช้ย่อหน้าสั้นๆ
ในทำนองเดียวกัน คุณควรหลีกเลี่ยงป๊อปอัป รูปภาพที่โหลดช้า และโฆษณาที่รบกวนเนื้อหา อาจทำให้ผู้อ่านออกจากเว็บไซต์ของคุณได้อย่างรวดเร็ว
4. ใช้ Bucket Brigade เพื่อทำให้เนื้อหาของคุณมีการสนทนามากขึ้น
คำศัพท์ หรือวลีที่สืบทอดกันในการเขียนคำโฆษณาที่เชื่อมโยงแนวคิดหนึ่งกับอีกแนวคิดหนึ่ง สิ่งนี้จะช่วยในเรื่องความลื่นไหลของงานเขียน เครื่องหมายจุดคู่ (Colon) : มักจะตามหลังประโยคเชื่อมคำศัพท์ หรือวลี
การใช้ ‘bucket brigades’ เป็นกลวิธีในการเขียนคำโฆษณาที่กระตุ้นให้ผู้ใช้ติดตามเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ตัวอย่างเช่น : ในขณะเดียวกัน , จากประสบการณ์ของฉัน , ณ ตอนนี้ , สิ่งนี้มีความหมายกับคุณอย่างไร? , ลองคิดดูสิ , เธอเคยสงสัยบ้างไหม? , คุณเคยค้นพบตัวเองหรือไม่? (สนใจกด >> รับทำ Google Ads)
5. ทำเว็บไซต์ให้ตรงกับ Search Intent ของผู้คน
การปรับปรุง Dwell Time จะต้องใช้กลยุทธ์การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่าต่อผู้ใช้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า Search Intent หรือ เจตนาของผู้ใช้ว่าพวกเขาทำการค้นหาเรื่องนั้นๆ เพื่ออะไร
ดังนั้น การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงกับสิ่งที่เขาค้นหาจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าพวกเขาเข้ามายังเว็บไซต์แล้วไม่เจอในสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา ก็อาจจะกดออกจากเว็บไซต์เรากลับไปยังหน้า SERP แล้วเข้าไปในเว็บไซต์อื่นต่ออยู่ดี
ซึ่ง Search Intent ของผู้ใช้งานจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ที่คุณจะต้องเลือกใช้ให้ตรงกับหน้าต่างๆ ของเว็บไซต์ ได้แก่
- Informational Search Intent คือ กลุ่มที่ต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น SEO คืออะไร, เว็บไซต์คืออะไร ฯลฯ ซึ่งหน้าเว็บไซต์ที่ควรให้คำตอบเหล่านี้มักจะเป็นหน้าบทความเป็นหลัก
- Navigational Search Intent คือ กลุ่มที่ต้องการค้นหาหน้าใดหน้าหนึ่ง เช่น เข้า Google Search Console, ล็อกอินเข้า Facebook ฯลฯ หน้าที่ควรทำให้ขึ้นในหน้า Google ก็ควรที่จะเป็นหน้าล็อกอินเข้าระบบเว็บไซต์
- Commercial Search Intent คือ กลุ่มที่ต้องการค้นหาบางอย่างเพื่อตัดสินใจซื้อ เช่น รีวิวอ่างน้ำ, ไอโฟน 12 VS ไอโฟน 13 เป็นต้น ในหน้านี้จึงควรมีเนื้อหาในเชิงการให้ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบที่เห็นภาพชัด
- Transactional Search Intent คือ กลุ่มที่ต้องการค้นหาบางอย่างเพื่อการซื้อ เช่น ซื้ออาหารสุนัข ฯลฯ หน้านี้จึงควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและสามารถทำการซื้อขายได้
6. ทำคอนเทนต์ที่ยาวขึ้นและดีขึ้นกว่าเดิม
หากคุณต้องการให้คนใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น การทำคอนเทนต์แบบ Long-Form หรือคอนเทนต์ที่มีความยาวดูเหมือนจะมีส่วนช่วยทำให้คนใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์นานมากขึ้น (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress)
แต่วิธีการเขียนบทความ Long-Form ก็ไม่ควรเน้นเขียนแค่ให้คอนเทนต์ดูยาวเฉยๆ แต่ควรที่จะวางแผนการเขียนให้สามารถตอบโจทย์ของผู้อ่านได้ทั้งในเรื่องของความรู้ รวมถึงการเขียนให้ถูกหลักการของ SEO
7. ให้ความสำคัญกับ User Experience
Google ชอบเว็บไซต์ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience) ดังนั้น จึงควรพิจารณาทำเว็บไซต์ทั้งในหน้า On-Page SEO และในด้าน Page Speed ของเว็บไซต์ โดยเราจะขอยกตัวอย่างการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ที่ดีต่อ User Experience เพื่อเป็นแนวทางสำหรับทุกคน ดังนี้
- การจัดวางคอนเทนต์ให้กวาดสายตาอ่านได้ โดยการจัดเนื้อหาให้มีหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย รวมถึงเขียนในแต่ละย่อหน้าสั้นๆ ไม่เขียนติดกันเยอะๆ โดยอาจจะแบ่งเหลือสักย่อหน้าละ 5 บรรทัด เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านแบบออนไลน์
- เวลาในการโหลดหน้าเว็บไซต์ที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาหลักของหน้าเว็บโหลดภายใน 2.5 วินาทีหรือน้อยกว่า
- ตรวจสอบว่าสามารถใช้งานได้จากทุกเบราว์เซอร์ เช่น Safari, Firefox, Chrome และ Opera
- สร้างเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกอุปกรณ์ เช่น โทรศัพท์ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์
- Navigation ของเว็บไซต์ควรใช้งานง่าย และทำให้ User เข้าใจว่าควรใช้งานเว็บไซต์อย่างไรบ้าง
บทความที่เกี่ยวข้อง
- จุดเริ่มต้นของการพูดถึงเกี่ยวกับ DT โดย Neil Patel : https://www.searchenginejournal.com/understanding-impact-dwell-time-seo/108905/
- ความแตกต่างระหว่าง DT กับ Time on Page : http://www.internetmarketingninjas.com/blog/search-engine-optimization/dwell-time/
- การทดสอบว่า DT ส่งผลต่อการจัดอันดับหรือไม่ : http://www.wordstream.com/blog/ws/2014/06/10/dwell-time
- DT จาก Moz กันบ้าง (เวลาอ่าน Moz เราแนะนำว่าให้อ่านไปจนถึง Comment เลย อ่านพวกเซียนๆเถียงกัน แล้วคุณจะเก่ง SEO ขึ้นอีกเยอะ) : https://moz.com/blog/the-2-user-metrics-that-matter-for-seo
Dwell Time ส่งผลต่อการทำ SEO อย่างไร
ดังนั้นถ้าให้พูดตามนิยามของ Dwell Time ที่เขียนไปด้านบนนี้ การทำให้ผู้ใช้อยู่ในหน้าเพจของเรานานๆก่อนที่เขาจะกด Back กลับไปยังหน้าผลการค้นหา (DT เยอะๆ) จะช่วยให้อันดับผลการค้นหาดีขึ้น
ในทางกลับถ้าผู้ใช้เข้าเว็บไซต์ของเราแล้วไม่เจอสิ่งที่ต้องการ ไม่เจอสิ่งที่เกี่ยวข้อง ก็จะกด Back กลับไปยังหน้าผลการค้นหาอย่างรวดเร็ว (DT น้อยนั่นเอง) และจะส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาต่ำลงด้วย
ดังนั้น ตัวเลข DT จะส่งผลต่ออันดับในการค้นหา
ความคลุมเครือของ Dwell Time
หลายๆคนไม่เชื่อว่า Google ใช้ Dwell Time ในการจัดอันดับผลการค้นหา เพราะว่ามันยังไม่เคยได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Google ว่ามีการใช้ DT ในการจัดอันดับผลการค้นหา (จริงๆแล้ว Factor หลายๆตัวที่เราใช้ในการทำ SEO กันอย่างแพร่หลายก็ไม่เคยได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Google เช่นกัน)
มีหลายๆคนพยายามทำการสืบเสาะและทดสอบว่า DT นี่มันมีอยู่จริงหรือเปล่า มันส่งผลต่อการ Ranking จริงๆหรือเปล่า หรือมันเป็นแค่ 1 ในหลายๆ Topic ที่ถูกยกขึ้นมาพูดเกี่ยวกับการทำ SEO ให้ดูดีมีภูมิเท่านั้น
แต่จากหลายๆการทดสอบยืนยันว่า DT มันส่งผลต่อการจัดอันดับของผลการค้นหาจริงๆ (สนใจกด >> รับดูแลเว็บไซต์ wordpress)
แต่แน่นอนล่ะว่าถึงแม้มันจะมีการทดสอบมายืนยันก็ตาม มันก็ยังคลุมเครืออยู่ดี เพราะเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่มี DT มากๆมักจะเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพอยู่แล้ว และเป็นเว็บไซต์ที่มีการปรับแต่งทาง SEO กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จนเรียกได้ว่าเป็น Authority Website อยู่แล้ว ทำให้อันดับการค้นหาที่อยู่สูงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และมันไม่ได้หมายความว่า DT ที่มากจะส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้น
จริงๆแล้วประเด็นเรื่อง Dwell Time มันก็เหมือนกับ Organic CTR นั่นแหละนะ ไม่มีใครรู้ว่ามันส่งผลต่อการจัดอันดับหรือไม่ แต่มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือที่เราจะทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ เว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์เพื่อให้ DT สูงๆ Organic CTR สูงๆ แทบไม่ต้องคิดอะไรอื่นไกลไปมากกว่านี้เลย ไม่ว่ามันจะส่งผลต่อ SEO หรือถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ จงทำมัน
สรุป
ตามความเห็นของเรา Dwell Time มีผลต่อการทำ SEO แน่นอน เพราะสุดท้ายแล้ว SEO มันก็เป็นเรื่องของคุณภาพเว็บไซต์ คุณภาพคอนเทนต์บทความ ซึ่งปัจจุบัน Google ได้พัฒนาอัลกอริทึ่ม(Algorithm) หรือ Google Bot(กูเกิ้ล บอท) อัพเดทมาตลอดเวลา ซึ่งเป้าหมายคือ การให้ประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน มันเป็นความจริงเสมอที่คุณภาพสำคัญกว่าทุกอย่าง และตัวเวลาที่คนใช้เสพย์ในแต่ละหน้าเว็บไซต์มันก็บอกทุกอย่างแล้ว