วางแผนทำSEO ด้วย keyword research หา keyword SEO เพื่อ organic traffic ดันอันดับเว็บคุณให้ติดอันดับ การใส่คีย์เวิร์ด วิธีหาkeyword รู้จัก Meta keyword , SEO difficulty คืออะไร , ประเภท keyword รวมถึง การใช้งาน keyword tool ครบทั้งหมดในบทความนี้ ไปรู้จักกับ SEO keyword กัน (สนใจกด >> บริการรับทำ SEO)
Keyword คืออะไร?
Keyword(คีย์เวิร์ด) คือ ข้อความที่เราสนใจจะค้นหาบน Search Engine เช่น เราสนใจ บริการรับทำ SEO เราจะเข้า Google แล้วพิมพ์ Keyword SEO “รับทำ SEO” คำว่า รับทำ SEO นั่นก็คือ คีย์เวิร์ด นั่นเอง
Keyword มีกี่ประเภท?
1. Short Tail Keyword คำค้นแบบสั้น ๆ กว้าง ๆ
Short Tail Keyword หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Seed Keyword คือ คำค้นหาแบบกว้าง ๆ ที่อาจมีเพียง 1-2 คำ ไม่เฉพาะเจาะจง มักจะมีปริมาณการค้นหา (Search Volume) ที่ค่อนข้างสูง เช่น เมื่อเราสนใจอยากหาข้อมูลเกี่ยวกับทัวร์ญี่ปุ่น แล้วค้นหาใน Google ว่า “ทัวร์ญี่ปุ่น”
คำชนิดนี้ ถึงแม้จะมีคนค้นหาเยอะ แต่ก็ตามมาด้วยคู่แข่งสูงเช่นกัน ทำให้แข่งขันได้ยาก จึงมักจะใช้เป็น Focus Keyword และเหมาะกับการเป็นคำตั้งต้นสำหรับการเลือกคีย์เวิร์ดอื่น ๆ ที่เจาะจงขึ้นมากกว่า (สนใจกด >> บริการรับสอน SEO)
2. Niche Keyword เจาะจงขึ้นมาอีกนิด
Niche Keyword หรือ Mid-Tail Keyword คือ คำค้นหาที่เพิ่มความเฉพาะเจาะจงหรือสิ่งที่ต้องการ ขยายเพิ่มขึ้นจาก Short Tail Keyword เล็กน้อย รวมถึงปริมาณการค้นหาก็จะน้อยลง อยู่ในระดับกลาง ๆ เช่น “แพ็กเกจทัวร์ญี่ปุ่น” คีย์เวิร์ดชนิดนี้ก็เลยนิยมใช้เป็น Related Keyword รวมถึงนำไปแบ่งเป็นหมวดหมู่ เพื่อวางแผนการจัดทำหน้าเว็บไซต์อีกด้วย
3. Long Tail Keyword ระบุความสนใจเจาะจง ช่วยทำเงิน
Long Tail Keyword คือ คำค้นหาที่มีลักษณะค่อนข้างยาวกว่าประเภทอื่น ๆ โดยจะระบุความต้องการหรือความสนใจที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เช่น “แพ็คเกจทัวร์ญี่ปุ่น ฮอกไกโด ราคา”
ธุรกิจจึงควรจะโฟกัสที่คีย์เวิร์ดประเภทนี้เป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าปริมาณการค้นหาจะค่อนข้างต่ำ แต่นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นคีย์เวิร์ดทำเงินเลยทีเดียว เพราะลักษณะของคำค้นทำให้ทราบว่าผู้ค้นนั้นเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อ มีการระบุถึงตัวสินค้าบริการอย่างชัดเจน และมีโอกาสเกิด Conversion Rate สูงนั่นเอง
หา Keyword โดยใช้คำให้เป็นจะพบได้ดีกว่า
ในฝั่งผู้หา ถ้าเราเลือหา Keyword google ได้แม่นยำ โอกาสที่จะเจอสิ่งที่ค้นหาได้ดีกว่า หรือ เรียกว่า Search intent (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ รับออกแบบเว็บไซต์)
ในฝั่งคนทำเว็บ ถ้าเราทำ keyword reseach หา keyword SEO ตรงกับฝั่งผู้หา ผู้คนจะค้นหาเว็บเราเจอก็มีเพิ่มตามไปด้วย เป็นธรรมดา เมื่อมีคนเข้าเว็บเราเพิ่ม โอกาสที่จะขายของ ก็มีมากขึ้นตามไปนั้นเอง
Keyword Research คืออะไร
Keyword Research คือ กระบวนการที่ใช้สืบหาคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูล สินค้า บริการ และ คอนเทนต์ บนเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เช่น Google, Bing, Youtube และนำมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบ จัดลำดับความสำคัญ เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์
นักทำ SEO จะทำ Keyword Research เพื่อใช้ตอบคำถามต่อไปนี้
- หาปริมาณคำค้นหาต่อเดือน (Search Volume) ของคีย์เวิร์ดที่ต้องการทำอันดับ
- วิเคราะห์การแข่งขันของคีย์เวิร์ด (Keyword Difficulty)
- วางแผน และกำหนดกลยุทธ์คอนเทนต์ เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ (SEO Content Strategy)
- หาคีย์เวิร์ดที่มีความสำคัญมากที่สุด (Prioritizing Keywords)
Keyword tool หรือ เครื่องมือทำ Keywords Research มีอะไรบ้าง
Keyword Tool คือ เครื่องมือที่บอกว่า คนใช้คำอะไรหาข้อมูลบน Search Engine พร้อมให้ข้อมูลสำคัญอื่นๆ
ศัพท์ที่พบบ่อยเกี่ยวกับดู SEO keyword
SEO Difficulty (SD) คือ ระดับความยากของคีย์เวิร์ดในการทำให้เว็บไซต์ไต่ขึ้นอันดับต้น ๆ ยิ่ง SEO Difficulty สูง คีย์เวิร์ดคำนั้นก็จะยิ่งมีการแข่งขันสูงเช่นกัน Paid Difficulty คือ ระดับความยากของคีย์เวิร์ดในการทำ SEM (Search Engine Marketing) ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งมีการแข่งขันสูง (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce)
Meta Keyword คือ การใช้คีย์เวิร์ดเพื่อระบุถึงข้อมูลว่าคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวข้องกับอะไร ถ้ามีการใส่คีย์เวิร์ดในบทความมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดเป็นการสแปมคีย์เวิร์ด ซึ่งในปัจจุบันนี้ Google ลดบทบาท Meta Keyword ลง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้คีย์เวิร์ดที่มากเกินไปและไม่สอดคล้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์
1. Google Keywords Planner
เครื่องมือช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ตอบโจทย์คนทำ SEM โดยทำงานซัพพอร์ต Google Ads ซึ่งคนทำ SEO ก็นำมาปรับได้เพื่อดู Search Volume โดยตรงได้จาก Data Source ของ Google นับเป็นเครื่องมือทำ SEO รุ่นแรกๆ ที่ SEO Specialist นิยมใช้กัน
2. Ahrefs
พระเอกตลอดกาลสำหรับเหล่า SEO Specialists เพราะสามารถใช้งานได้สารพัดประโยชน์สมเป็น Universal Tools ไม่เพียงมีตัวช่วยดู Keywords Idea เท่านั้นแต่ยังสามารถใช้ดูข้อมูลในเชิง On-Page และ Off-Page ของเว็บไซต์ที่เราต้องการได้อีกด้วย
3. SimilarWeb
เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของเว็บไซต์ที่ทำงานใกล้เคียงกับ Google Analytics เหมาะกับสาย Marketing เพราะอัดแน่นข้อมูลการตลาดโดยเฉพาะ อย่าง Visitor, Traffic Acquisition, Organic Visitor และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมยังมี UI ที่เข้าใจ ใช้งานสะดวกไม่ยุ่ง ถึงแม้ว่าราคาจะแรงไปนิดแต่ก็ถือว่าเป็น tool ที่น่าสนใจเลยทีเดียว
4. Keywordtool
เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ Keywords ที่ทำงานได้คล้ายคลึงกับ Google Keyword Plan แทบจะใช้แทนกันได้ ซึ่งหากเราติดขัดกับการใช้ Google Ads เครื่องมือนี้น่าจะเป็นตัวช่วยบรรเทาทุกข์ที่ดีตัวหนึ่ง
5. Ubersuggest
เครื่องมือนี้มีจุดเด่นตรงที่มีบริการให้ลองใช้ได้ฟรีในปริมาณจำกัด สามารถเข้าดูข้อมูล Keywords ได้ในระดับพื้นฐาน จึงเหมาะกับ SEO Specialist เริ่มต้น ที่ยังไม่ได้ Subscribe ไปกับเครื่องมือใด ๆ แต่อยากลองใช้หรือฝึกมือในการทำ SEO เบื้องต้น
6. SEMrush
เครื่องมือลูกผสมระหว่าง Similarweb และ Ahrefs ที่มีทุกอย่างให้เลือกสรร ความโดดเด่นพิเศษคือมีฟีเจอร์หา Idea สำหรับสายคอนเทนต์ ตอบโจทย์ Content Writer ที่กำลังคิดเรื่องจะเขียนไม่ออกให้ทำงานง่ายขึ้น ทั้งยังสามารถดูข้อมูล Traffic ของเว็ปไซต์เราและคู่แข่งได้อีกด้วย (สนใจ >> บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress)
Organic Traffic คืออะไร
Organic Traffic คือ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ ที่เข้ามาชมเว็บไซต์อย่างธรรมชาติ โดยจะเข้าชมผ่านการใช้ Keyword ในการค้นหาบนหน้า Search Engine หรือ Google นั่นเอง ซึ่งจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์อย่างเป็นธรรมชาตินั้นจะมีความแตกต่างจากยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์จากการยิง Ads โฆษณา หรือ Paid Traffic
Organic keyword คือ การใช้คีย์เวิร์ดที่ทำผ่านการปรับเว็บด้วยตนเองโดยไม่ได้ใช้วิธี SEM หรือ การยิงแอดด้วยการใช้ keyword ผ่านทาง Paid traffic
เทคนิคการใส่คีย์เวิร์ดสำหรับการทำ Keyword SEO
1. รวบรวม Keyword
สำหรับการรวบรวม Keyword เพื่อเตรียมเขียน SEO นั้น ลำดับแรกให้เริ่มหาตัวเองก่อนว่า Keyword สั้นๆ ที่แสดงตัวตนธุรกิจของเราคืออะไร? เช่นถ้าเราเปิดโฮมสเตย์อยู่ที่เชียงคาน จ.เลย ดังนั้น Main Keyword ควรเป็น “ที่พัก เชียงคาน”
หรือถ้าเป็นธุรกิจขายสินค้าสายสปอร์ตอย่างรองเท้ากีฬาเช่นรองเท้าวิ่งแล้วล่ะก็ คีย์เวิร์ดหลัก ควรใช้คำว่า “ขายรองเท้าวิ่ง” ซึ่งจะครอบคลุมรองเท้าวิ่งของทุกแบรนด์
2. แทรก Keyword ในส่วนต่าง ๆ ของบทความ
เมื่อเรารู้แล้วว่า Keywords ไหนคือคำที่ใช่ ก็ให้นำคีย์เวิร์ดนั้นไปแทรกลงในจุดต่าง ๆ ของคอนเทนต์ เพื่อให้มีการกระจายคีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม และยังต้องอ่านได้อย่างลื่นไหลด้วย แต่จำนวนของ Keyword สำหรับการวางในเนื้อหานั้น ขึ้นอยู่กับความยาวของเนื้อหาเป็นปัจจัยหลัก ไม่ควรวางมากเกินไป เพราะ Google จะมองว่าเรากำลัง Spam Keyword ซึ่งจะส่งผลไม่ดีกับคะแนน SEO ทั้งเว็บไซต์
โดยจุดที่ควรแทรก Keywords เข้าไปในคอนเทนต์ มีดังนี้
- Title หมายถึง ชื่อคอนเทนต์
- URL คือ ชื่อลิงก์ของคอนเทนต์ แนะนำควรเป็นภาษาอังกฤษ
- Description คือ คำบรรยายคอนเทนต์
- Headings คือ หัวข้อต่าง ๆ
- ชื่อภาพ และ Alt Text ของภาพ
3. กระจาย Keyword ในคอนเทนต์
คำค้นหานั้นไม่เพียงแต่เราใส่ลงไปใน 5 จุดเท่านั้น ยังต้องใส่ลงไปในเนื้อหาของบทความด้วย แต่อยู่ในจำนวนไม่มากจนเกินไป นั่นคือ ไม่เกิน 2.5% เมื่อเทียบกับปริมาณคำทั้งหมดของคอนเทนต์ เราควรใส่คำสำคัญในประโยคแรกของคอนเทนต์ จากนั้นก็กระจายคำลงทั่วทั้งคอนเทนต์แบบหลวมๆ
การหา organic keyword ที่ดี สำหรับ Keyword SEO
การคัดเลือกคีย์เวิร์ด ที่จะมาทำ SEO Keyword นั้นมีความสำคัญมาก เพราะรายละเอียดงาน SEO ที่ต้องทำนั้น จะอยู่กับคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดในตอนแรก ซึ่งการทำ Keyword SEO เป็นตัวตัดสินว่าเว็บไซต์จะสามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชมได้ไหม หรือเพิ่มยอดขายได้ไหม ก็อยู่ที่คีย์เวิร์ดที่เลือก แล้วเราควรเลือก คีย์เวิร์ดแบบไหนมาทำ SEO กันก่อนดี
- เลือกกลุ่มคำคีย์เวิร์ดที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของเราก่อนเป็นอันดับแรก เช่น คุณมีบริการรับสร้างเว็บไซต์ คีย์เวิร์ดแรกที่ควรเริ่มต้นทำก็คือ “รับสร้างเว็บไซต์”
- ปริมาณของ Search Volume ต้องไม่น้อยเกินไป อย่างน้อยควรเลือกคีย์เวิร์ดที่มี Search Volume ประมาณ 1,000 ขึ้นไปก่อน
- เลือกคีย์เวิร์ดที่รู้ความต้องการของผู้ค้นหาอย่างชัดเจน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, สร้างเว็บไซต์, บ้านน็อคดาวน์, โต๊ะทำงาน ไม่เลือกคีย์เวิร์ดที่มีความหมายกว้างจนเกินไป เช่น โต๊ะ, เก้าอี้, รถ, เว็บ, บ้าน จะสังเกตเห็นว่าเราไม่รู้ความต้องการของผู้ค้นหาเลย มันกว้างมาก
- ตรวจสอบ Search Intent ให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ ดูว่าคีย์เวิร์ดที่ต้องการทำอันดับ อันดับในหน้าแรกของผลการค้นหาเป็นแบบไหน สามารถใช้คอนเทนต์เพื่อไปอยู่อันดับต้นๆ ได้ไหม ในกรณีหน้าแรกของผลการค้นหาเป็น VDO จาก Youtube ทั้งหมด การสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์เพื่อให้ติด ก็จะไม่เหมาะสมเท่ากับการสร้าง VDO Content
- เน้นทำอันดับคีย์เวิร์ดที่เป็น Buyer’s Keywords ก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะแปลงผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นลูกค้า มาเพิ่มยอดขาย เช่น กลุ่มคีย์เวิร์ดที่มีคำว่า ราคา, ที่ไหนดี, รับทำ, รับสอน, ชื่อแบรนด์, รีวิว ที่เป็นกลุ่มคำที่ผู้ใช้รู้จัก สินค้า บริการ มาในระดับนึงแล้ว เราจะเรียกกลุ่มคำประเภทนี้อีกอย่างว่า Commercial Keyword
ความยากง่ายของ Keyword ในการทำ SEO ให้ดูว่าคีย์เวิร์ดที่เราเลือก มีการแข่งขันที่สูงไหม ถ้าดู Top 10 ในหน้าแรกของกูเกิ้ล แล้วพบว่าคู่แข่งแต่ละคนเก่งๆทั้งนั้น เราอาจเลือกโฟกัสคีย์เวิร์ดตัวอื่นก่อน ค่อยกลับมาลุยตัวที่การแข่งขันสูงๆ ที่หลัง เช่น คอนโด, ซื้อบ้าน, ประกันรถยนต์ คีย์เวิร์ดกลุ่มนี้คู่แข่งแต่ละเจ้านี้ระดับประเทศทั้งนั้น
เรียงลำดับความสำคัญของการทำ Keyword SEO
ไอเดียการเริ่มต้นเลือกคีย์เวิร์ดมาทำ SEO Keyword ควรจะทำคอนเทนต์ หรือ Optimize คอนเทนต์ ให้รองรับกลุ่มคำที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของเรา ที่มี Volume สูงและเรารู้ความต้องการของผู้ค้นหาชัดเจนก่อน เช่น รับสอน SEO, รับทำ SEO, เรียนสร้างเว็บไซต์ และ รับทำเว็บไซต์ แต่จะไม่ได้โฟกัสในการทำอันดับในกลุ่มคำนี้ในช่วงแรกๆ ของการทำ SEO เพราะการแข่งขันจะค่อนข้างสูง
แต่จะไปเน้นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาจำนวนนึงและการแข่งขันไม่สูงมาก ซึ่งจะเป็นคีย์เวิร์ดให้ความรู้ เช่น คีย์เวิร์ด คืออะไร, SEO คืออะไร, โปรแกรมหาคีย์เวิร์ด เพื่อสร้างยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ก่อน เนื่องจาก Traffic เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Google รู้จักเว็บไซต์ของเราได้มากยิ่งขึ้น และมีผลต่อการทำ SEO
สรุป
การทำ keyword SEO หรือ SEO keyword แม้การมีเครื่องมือช่วยจะเป็นเรื่องดีแต่ก็มีต้นทุนเช่นเดียวกัน ซึ่งหากเรากำลังเริ่มต้นทำSEO อาจยังไม่จำเป็นต้องเร่งรีบทุ่มงบประมาณไปกับเครื่องมือเหล่านี้ โดยพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่แล้วและใช้ได้ฟรีอย่าง Google Trends เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของกระแส และ Related searches ที่ช่วยบอกใบ้ว่าผู้คนกำลังสนใจเกี่ยวกับอะไร และต้องไม่ลืมให้ความสำคัญกับ คอนเทนต์คุณภาพดี ที่เป็นอีกตัวช่วยสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามายังหน้าเว็บไซต์และเครื่องมือใดๆ ก็ไม่สู้ความใส่ใจของเราในฐานะคนลงมือทำ